"สภา" ถกงบฯ 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสองวันแรก "พิชัย" แจง กมธ.หั่นงบ 8,920 ล้านบาท เหตุไม่สอดคล้องภาวะปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย “ศิริกัญญา” ขอปรับลดงบภาพรวม 5 หมื่นล้าน บอกเก็บกระสุนไว้ใช้ยามวิกฤต ปท. ชี้การคลังเจอ 3 เสี่ยง หากกู้ตามแผนจีดีพีจะขึ้นไปถึง 69% หนี้สาธารณะชนเพดาน "เท้ง" จี้ปฏิรูประบบงบประมาณ ซัดจัดงบหูหนวกตาบอด ขาดเข็มทิศ ไม่ฟังเสียงสภา แนะ ศก.ไทยต้องการงบลงทุนใหม่ รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน "ปชน." ดาหน้าถล่ม ซัดงบซอฟต์พาวเวอร์ไม่มีดัชนีชี้วัดความสำเร็จ "จุลพันธ์" ยันจำเป็นต้องตั้งงบขาดดุลเพื่อหนุนการเติบโต ศก. ลั่นมีกระสุนเพียงพอ ไม่ปฏิเสธความเสี่ยงภาษีทรัมป์ เชื่อมีศักยภาพบริหารจัดการได้
ที่รัฐสภา วันที่ 13 ส.ค.2568 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสอง ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาแล้วเสร็จ เป็นวันแรก
ก่อนการประชุม เวลา 08.30 น. พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการประชุม สส.พรรค โดยมีนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค และ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา, นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธาน สส.พรรค ร่วมชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจในการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่เข้าสู่สภาวาระสองและสาม
นายสรวงศ์กล่าวว่า ขอให้ทุกคนอยู่ร่วมเป็นองค์ประชุมในการพิจารณางบฯ ทั้ง 3 วัน ขอให้ทุกคนมาเซ็นชื่อเป็นองค์ประชุมก่อนเวลา 09.00 น. เพื่อที่จะเปิดการประชุมได้ตรงเวลา
ส่วนนายวิสุทธิ์กล่าวว่า เราคุยกันแล้วในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ หน้าที่ผู้แทนฯ ก็รู้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา 3 วันจะอยู่ด้วยกัน เพราะ สส.ต้องรู้หน้าที่ ไม่ต้องถึงขั้นคาดโทษ เพราะเชื่อมั่นว่าครั้งนี้ไม่มีล่ม
จากนั้นเวลา 09.30 น. เริ่มการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสอง มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.การคลัง ในฐานะประธาน กมธ. รายงานผลการพิจารณาต่อที่ประชุม ตอนหนึ่งว่า การพิจารณารายละเอียดได้พิจารณาตามความจำเป็น คำนึงถึงฐานะการคลัง การขับเคลื่อนของหน่วยงานภายใต้ความสุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมมีข้อสังเกตในภาพรวม เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2569 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลกระทบต่องบประมาณ ทั้งส่วนของรายได้และรายจ่าย การเตรียมงบเพื่อรองรับมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศ เศรษฐกิจหลัก และการจัดการหนี้สาธารณะให้ลดลงในระยะยาว เพื่อให้มีพื้นที่การคลังไว้ใช้ในยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในอนาคต และให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาแต่ละจังหวัดที่แตกต่างไปในแต่ละบริบทพื้นที่ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม และหน่วยรับงบประมาณควรแสดงงบประมาณส่วนเงินนอกงบประมาณต่อแผนงานประจำปีเพื่อให้การพิจารณาครอบคลุมทุกแหล่งเงิน
พิชัยแจงหั่นงบ 8,920 ล้าน
นายพิชัยชี้แจงว่า การทำงานของ กมธ. ปรับลดงบประมาณ 8,920 ล้านบาท โดยพิจารณาความสอดคล้องในสถานการณ์ปัจจุบัน ความคุ้มค่า ศักยภาพในการใช้จ่ายเงิน เช่น งบประมาณไม่สามารถใช้จ่ายได้ทันปีงบประมาณหรือรายการผูกพันงบประมาณเดิมที่ต่ำกว่างบประมาณเสนอไว้ รายการไม่สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบันหรือดำเนินการไปแล้วแต่ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ รายการที่ชะลอได้ โดยไม่กระทบภารกิจให้บริการประชาชนหรือทบทวนโครงการให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ส่วนที่ยกเลิกหรือใช้งบจากส่วนอื่นนอกจากงบประมาณได้ เช่น เงินที่จัดเก็บเอง เงินสะสมคงเหลือ เงินนอกงบประมาณ
สำหรับการเพิ่มงบประมาณได้พิจารณาตามความเหมาะสม จำเป็นเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงาน ได้แก่ งบกลาง เพื่อเงินสำรองกรณีฉุกเฉินจำเป็น สำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่มในส่วนเงินเดือนของบุคลากรของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กระทรวงการคลัง ได้เพิ่มให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อใช้จัดการประชุมสภาผู้ว่าฯ ธนาคารโลกในปี 69 กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ค่าใช้จ่ายสนับสนุนปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของคนพิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนของกรมฝนหลวง เพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก กระทรวงยุติธรรม ให้กับกรมคุมประพฤติ เพื่อติดตามผู้ถูกคุมประพฤติในส่วนผู้ติดยาเสพติด ให้ชำระคืนให้กับกองทุนประกันสังคม รัฐวิสาหกิจ เป็นค่างานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม จัดสรรให้หน่วยงานศาล องค์กรอิสระเพื่อเป็นงบบุคลากรและสนับสุนนดำเนินงานตามภารกิจ
“กมธ.ได้เปลี่ยนแปลงรายจ่ายใน 2 ส่วนคือ ลดงบกระทรวงสาธารณสุข 70 ล้านบาท ส่วนการถ่ายโอนบุคลากร เพื่อเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นเงินอุดหนุนบุคลากรสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรในสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ และลดงบกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 114 ล้านบาท เพื่อให้กับเทศบาลเมือง 3 แห่งและเทศบาลตำบล 1 แห่ง หลังยุบรวม อบต. ภายใต้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย รวมกับเทศบาล” นายพิชัยกล่าว
ประธาน กมธ.กล่าวว่า สำหรับการพิจารณารายละเอียดงบประมาณ ปรับลด เพิ่มและเปลี่ยนแปลง งบประมาณ กมธ.ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ต่อความพร้อมและศักยภาพของหน่วยงาน ความซ้ำซ้อน เป้าหมายดำเนินงาน ผลการดำเนินงานและภารกิจกระตุ้นเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาของประชาชนและประโยชน์โดยตรงกับประชาชน รวมถึงสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต เข้มแข็ง รองรับปัจจัยภายในและภายนอกอย่างมีเสถียรภาพ รวมถึงการดำเนินงานไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ เพื่อให้อยู่ในกรอบวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท
จากนั้น เวลา 09.40 น. ที่ประชุมเข้าสู่การพิจารณารายมาตรา โดยในมาตรา 4 ภาพรวม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ. สงวนความเห็น อภิปรายว่า มีขอให้การปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท เหลือ 373,600 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติที่เราจะอยากที่จะตัดลดงบประมาณเพิ่มในยามที่ประเทศอาจจะยังเผชิญกับวิกฤตคู่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการปะทะกันในเขตชายแดน ซึ่งเราหวังว่าวิกฤตชายแดนน่าจะจบลงในเร็ววัน ไม่ยืดเยื้อไปจนถึงปีงบประมาณ 2569 แต่วิกฤตเศรษฐกิจทำให้เรามาถึงจุดที่ต้องขอปรับลดงบประมาณลง 50,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น
“ดิฉันอยากที่จะนำเสนอเหตุผลในการปรับลดงบประมาณที่เป็นเหตุผลทางด้านการคลัง ที่จะขอปรับลด จากวิกฤตที่จะเกิดจากสงครามการค้าที่กำลังจะมาถึง ทำให้การคลังของประเทศตกอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยง ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ” น.ส.ศิริกัญญากล่าว
ปชน.ดาหน้าชำแหละงบฯ
สส.พรรค ปชน.รายนี้ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่จัดทำโดยสภาพัฒน์ ที่นำมาเสนอให้กับทางกรรมาธิการฯ ได้รับทราบคือประมาณการของจีดีพีในปี 2569 ว่าจากเดิมที่ตอนจัดทำงบประมาณฉบับนี้ประมาณปลายปี 2567 ตอนนั้นจีดีพีอ่านว่าเติบโตที่ 2.8% ล่าสุดเดือน พ.ค.2568 จีดีพีมีการคาดการณ์ว่าในปี 69 จะเติบโตเพียงแค่ 1.6% ลดลงมา 1.2% หลายท่านอาจจะบอกว่าตอนนี้เราทราบอัตราภาษีสหรัฐแล้ว สถานการณ์อาจจะดีขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะหลายสำนักมีการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจสำหรับปี 2568 ขึ้นเป็น 2.0, 2.3, 2.5% บ้าง แต่ยังไม่มีสำนักวิจัยไหนที่ปรับเพิ่มจีดีพีสำหรับปี 2569 เลย
ทั้งนี้ เสี่ยงแรกที่จะเกิดวิกฤตแนวโน้มที่ชะลอตัวลงมากกับรายได้ เราจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 15% ของจีดีพี ซึ่งต่ำกว่าหลายๆ ประเทศ ความเสี่ยงทางด้านรายจ่าย เมื่อเราต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ เราจำเป็นจะต้องมีงบ พยุง ฟื้นฟู กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้มีการเตรียมการเอาไว้ งบกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังอยู่ที่ 25,000 ล้านบาทเท่าเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือแปรเพิ่มเข้ามาในส่วนนี้
"ความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะ ที่กำลังจะชนเพดานแล้ว พื้นที่ทางการคลังของเราเหลือไม่มากแล้ว ปัจจุบันเดือน มิ.ย.68 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 64% ซึ่งเราคิดว่าน่าจะพอไหว แต่สิ้นปีงบประมาณปี 68 ขึ้นอยู่ที่ 66% ในส่วนปี 69 หากกู้ตามที่ได้วางแผนไว้ หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะขึ้นไปถึง 69% เนื่องมาจากจีดีพีของเรากำลังถดถอยลงเรื่อยๆ ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีกำลังจะชนเพดานในปี 2569 นี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงจะต้องมีการประหยัดงบประมาณในส่วนนี้เพื่อไปสมทบในส่วนหน้า" น.ส.ศิริกัญญาระบุ
เวลา 10.00 น. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ในฐานะ กมธ. สงวนความเห็น ในมาตรา 4 ภาพรวมระบุว่า ปัญหาเรื่องความซ้ำซ้อนในการจัดทำงบประมาณ เชื่อว่าหากเรามีการศึกษาและพิจารณาควบรวมหน่วยงานที่มีภารกิจที่เสี่ยงจะซ้ำซ้อนกันอย่างจริงจัง เราจะทำให้โครงการและกิจกรรมของรัฐนั้นมีความสะเปะสะปะน้อยลง แต่ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทรัพยากรมากขึ้น และเราจะทำให้หน่วยงานของรัฐผลิตแผนขึ้นหิ้งน้อยลง และทำงานในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
เวลา 10.45 น. นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะ กมธ. สงวนความเห็น อภิปรายว่า การตั้งงบประมาณรายจ่ายที่ไม่สอดคล้องกับประมาณการรายได้ ทำให้การตั้งวงเงินงบประมาณรายจ่ายนั้นสูงกว่าความเป็นจริง ทำให้ต้องกู้ยืมด้วยการทำงบประมาณขาดดุลเป็นจำนวนมาก หากดูยอดงบประมาณที่มีการขาดดุลร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับจีดีพี เป็นอัตราที่เป็นอันตราย เพราะมาตรฐานในการขาดดุลงบประมาณไม่ควรเกินร้อยละ 3 ด้วยเหตุที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยชะลอตัวต่ำ ตนจึงเสนอให้ตัดลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ลงเป็นร้อยละ 10 เพื่อปรับฐานการเงินการคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
เวลา 10.45 น. น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรค ปชน. อภิปรายถึงดัชนีการรับรู้คอร์รัปชันว่า มีงบบูรณาการส่วนนี้เกือบพันล้านบาท แต่งบประมาณส่วนใหญ่เป็นงบที่ใช้ในการอบรม และต้องมีงบวัดผลด้วย ถามว่าการอบรมและการวัดผลแบบเดิมๆ ทำให้ภาพลักษณ์เรื่องคอร์รัปชันและการปราบปรามดีขึ้นหรือไม่ เรื่องอาสา อย่างกระทรวงสาธารณสุข มี อสม. อสส. ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้หลายพรรคการเมืองพยายามเข้าไปใช้เครือข่ายอาสาต่างๆ ในการทำเพื่อหวังผลทางการเมือง เมื่อกระทรวงอื่นเห็นก็เอาบ้าง โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรสหกรณ์ มีเกือบทุกกรม
"อยากให้รัฐบาลพิจารณารวบรวมอาสา มิเช่นนั้นในอนาคตทุกกระทรวงจะมีอาสาหมดเลย และกลายเป็นภาระกับงบประมาณ ซึ่งสิ้นเปลืองงบประมาณซ้ำซ้อน วัดผลอะไรไม่ได้ และเหมือนเป็นแขนเป็นขาให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงได้ไปทำปฏิบัติการอะไรบางอย่าง" น.ส.รักชนกกล่าว
เวลา 11.40 น. นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรค ปชน. อภิปรายว่า การของบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างยังคงมีปัญหาไม่ต่างจากเดิม การตั้งงบของรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพและไม่เคยแก้ไขได้เลยแม้แต่ปีเดียว จึงขอเสนอปรับลด 1% ในภาพรวมเพื่อรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง
เท้งซัดไร้ทิศทางไม่ฟังสภา
ต่อมาเวลา 11.50 น. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ปชน. ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า การจัดสรรงบประมาณในปีนี้มีปัญหาซ้ำๆ คิดไม่รอบและคิดไม่ลึก งบลงทุนไม่ได้ถูกลงทุนเพื่อสร้างประเทศ เห็นควรปรับลดงบประมาณ เพื่อเก็บกระสุนไว้ให้ประหยัดพื้นที่ทางการคลัง เพื่อลงทุนให้กับประเทศในระยะยาว สำหรับงบลงทุนก็น่าผิดหวัง เราได้เสนอแนะไปแล้วตั้งแต่วาระ 1 เราอยากเห็นรัฐบาลโยกงบประมาณไปลงทุนให้ถูกจุด จึงน่าผิดหวังอย่างยิ่งกับท่าทีของรัฐบาลที่ดูเพิกเฉยกับ 2 วิกฤต 2 สงคราม งบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์ประเทศ สามารถสรุปได้ว่าเกิดจากกระบวนการหูหนวกตาบอด ขาดเข็มทิศ ไร้แผนที่
"หูหนวกตรงที่ไม่ฟังเสียงสภาเลย ข้อสังเกตของกรรมาธิการตั้งมาอย่างยากลำบากในทุกปี แต่ส่วนราชการได้ปรับปรุงมาตรงแค่ไหน กล้าพนันว่าแทบไม่มีการแก้ไขเนื้อหาภายในใดๆ เลย เสียงจากสภาไม่เคยมีความหมาย สส.เป็นเพียงแค่ตรายางประทับให้กับงบของส่วนราชการประจำ ส่วนตาบอดตรงที่ไม่มีความโปร่งใส เพราะยังมีเงินนอกประมาณอีกเยอะ ที่อยู่เหนือการตรวจสอบของสภาโดยตรง และอยู่นอกสายตาประชาชน ที่ขาดเข็มทิศ คือสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง ต่างคนต่างทำ และไร้แผนที่ คือมองไม่เห็นภาพรวม งบประมาณรายจ่ายประจำปี ต้องมองถึงรายได้ เพราะรัฐมีรายได้อื่นๆ ที่ยังไม่ส่งคืนคลังอีกเยอะ เช่น รัฐพาณิชย์ ธุรกิจกองทัพ ที่เรายังมองไม่เห็น" นายณัฐพงษ์กล่าว
ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า ทุกปัญหาที่บอกไปถ้าเราไม่ปฏิรูประบบงบประมาณ ที่ฝ่ายบริหารสามารถลงมือทำได้จริงๆ โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย ไม่มีวันที่เราจะเห็นเงินในทุกๆ กระเป๋าที่รัฐถืออยู่ ไม่มีทางจะสามารถบูรณาการการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเหล่านั้นไม่พุ่งเป้าและตรงจุดมากขึ้น เศรษฐกิจไทยเวลานี้ต้องการเม็ดเงินลงทุนใหม่ ที่สร้างความเติบโตให้กับประเทศในอนาคต ไม่ได้กระจุกตัวอยู่กับผู้ได้รับสัมปทานบางกลุ่มเท่านั้น เงินลงทุนนั้นควรสะท้อนอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เหล่านั้น เพื่อให้นักลงทุนเชื่อมั่นและเห็นโอกาส ความเชื่อมั่นมาจากเสถียรภาพทางการเมือง และความชอบธรรมของรัฐบาล ซึ่งอาจเกี่ยวโยงกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่การมองเห็นโอกาส หากรัฐบาลเตรียมร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ฉบับนี้ดีพอ จะทำให้นักลงทุนเห็นภาพตรงกัน รัฐบาลมีหน้าที่ประกาศเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วเอกชนจะมาร่วมลงทุน
เวลา 12.05 น. นายณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ พรรค ปชน. อภิปรายถึงงบประมาณแผนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ นโยบายหลักของรัฐบาลปี 69 ว่าได้ไปกว่า 4,000 ล้านบาท KPI หรือดัชนีชี้วัดความสำเร็จ ในภาพรวมไม่มี ไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งที่ทำไปจะสร้างความเชื่อมั่น ความหลงใหล ความศรัทธาได้อย่างไร
เวลา 12.13 น. นายจุติ ไกรกฤษ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายว่า อยากจะถามคณะกรรมการด้วยว่าประชาชนได้อะไรจากการจัดสรรงบประมาณชุดนี้ มีวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สงครามทางการค้า ชายแดน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ได้มีการยึดหลักอะไรบ้างที่หวังว่าจีดีพีจะโต
'จุลพันธ์’ขอเชื่อมั่นรัฐบาล
เวลา 12.26 น. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง และรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2569 ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงข้อเสนอแนะของสมาชิกว่า กรรมาธิการเสียงข้างมากไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยงจากผลกระทบ ทั้งจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ข้อสรุปว่าประเทศไทยจัดเก็บที่ 19% ไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยง แต่กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่าเรามีศักยภาพเพียงพอในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ที่เพียงพอ เชื่อว่าสามารถบริหารได้ลุล่วง ไม่กระทบใดๆ เพราะการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน หากปรับลดลงกลับจะเป็นผลร้ายกับระบบเศรษฐกิจ เพราะจะสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในภาคเอกชนและการลงทุน จึงยืนยันว่าเม็ดเงินที่ตั้งเอาไว้เป็นสิ่งสำคัญ
"เรามีกระสุนเพียงพอ ทั้งเงินคงคลัง เงินทดรองราชการ และการจัดทำ พ.ร.บ. การโอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขงบประมาณ มีมากเพียงพอที่จะดำเนินการแก้ไขประเทศ และทำให้เศรษฐกิจเติบโตไปในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ มั่นใจว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2569 นี้ มีความชอบและสอดคล้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 รัฐบาลจำเป็นต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ โดยมีวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลในแต่ละปี สะท้อนความจริงใจว่ารัฐบาลพยายามชดเชยการขาดดุลอย่างต่อเนื่องในระยะยาว" นายจุลพันธ์ระบุ
เวลา 12.45 น. การประชุมเข้าสู่การลงมติมาตรา 4 มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดยได้กดออดเรียกให้สมาชิกแสดงตน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 นาที มีผู้เข้าร่วมประชุม 403 คน จากนั้นนายไชยาได้ถามมติที่ประชุมว่า เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งคือการให้คงไว้ตามร่างเดิมหรือไม่ ผลปรากฏว่า จากจำนวนสมาชิก 462 เสียง เห็นด้วย 256 เสียง ไม่เห็นด้วย 138 เสียง งดออกเสียง 73 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก
เวลา 12.20 น. ในมาตรา 6 น.ส.ศิริกัญญาอภิปรายถึงงบกลางที่มีการปรับลด 50,000 ล้านบาทว่า ขอให้งบครั้งนี้กระจาย ไม่กระจุกอยู่พรรคร่วมรัฐบาลใดพรรคหนึ่ง เพื่อให้การแก้ไขภัยแล้งให้พี่น้องประชาชนประสบผลสำเร็จ
ต่อมา เวลา 14.10 น. นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายในมาตรา 6 งบกลาง ว่า ครม.มีมติเห็นชอบวงเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเป็น 10 ล้าน 20 ล้าน หรือ 100 ล้าน กับชีวิตที่เสียไป ไม่อาจจะเทียบได้ ตนยืนยันว่าพูดเรื่องนี้มาหลายครั้ง เราเสียหายจากความผิดพลาดทางนโยบายเศรษฐกิจจะเสียหายกี่แสนล้านบาทก็ไม่อาจเทียบได้กับชีวิตที่เสียไปกับความผิดพลาดในนโยบายความมั่นคงกรณีภาคใต้ จึงขอเรียนเพื่อประโยชน์ของรัฐบาลว่า เราต้องการความสามัคคี รัฐบาลก็เรียกร้องความสามัคคี แต่ความสามัคคีจะเกิดขึ้นเมื่อเราปฏิบัติกับคนอย่างเดียวกัน จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
ขณะที่นายจุลพันธ์ชี้แจงว่า ขณะนี้ ครม.อนุมัติเงินช่วยเหลือผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ จากเหตุความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชาไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท โดยใช้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น แต่จะขยายไปยังกลุ่มอื่นๆ หรือไม่ ขอรับข้อสังเกตไปหารือกับ ครม. ตนยังไม่สามารถตอบได้
หลังจากสมาชิกอภิปรายครบถ้วนแล้ว ที่ประชุมลงมติเห็นชอบมาตรา 6 ด้วยคะแนน 250 ต่อ 137 งดออกเสียง 7 ไม่ลงคะแนน 2 เสียง
จากนั้นเวลา 15.20 น. นายพริษฐ์อภิปรายมาตรา 7 สำนักนายกรัฐมนตรี วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาท ขอปรับลดเหลือ 2.55 หมื่นล้านบาท โดยตั้งข้อสังเกตถึงการจัดสรรงบประมาณโครงการซอฟต์พาวเวอร์เพิ่มสูงไม่มีเหตุผล และหลายหน่วยงานมีความซ้ำซ้อนกัน จึงเสนอให้วางกฎเกณฑ์ให้ดีป้องกันบริษัทเอกชนใช้ความสัมพันธ์มารับงาน
เวลา 15.28 น. นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรค ปชน. อภิปรายมาตรา 7 สำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนของเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ว่างบประมาณเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จำนวน 366 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 16% แบ่งเป็นงบสร้าง 278 ล้านบาท และงบซ่อม 98 ล้านบาท หากเทียบสองส่วนนี้ต่อหน่วยเป็นจำนวนเงินก็เกือบจะเท่าเทียมกัน ทั้งที่มียอดส่งคืนสูงขึ้น จึงเสนอการประหยัดงบประมาณในส่วนนี้ด้วยการลดจำนวน
เวลา 17.12 น. เข้าสู่การลงมติมาตรา 7 ผลปรากฏว่า จากจำนวนสมาชิก 427 เสียง เห็นด้วย 392 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 30 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 6 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับให้มีการแก้ไข นายวันมูหะมัดนอร์ได้ถามต่อที่ประชุมอีกว่า เห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก หรือจะเห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่สงวนความเห็นและผู้แปรญัตติสงวนคำแปรญัตติ ผลปรากฏว่า จากจำนวนสมาชิก 422 เสียง เห็นด้วย 247 เสียง ไม่เห็นด้วย 138 เสียง งดออกเสียง 32 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 5 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก
เวลา 17.30 น. นายณัฐพงศ์ เปรมพูสวัสดิ์ สส.กทม. พรรค ปชน. อภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม ว่ามีการสร้างอาคารราชการถึง 4.7 พันล้านบาท ถือเป็นงบประมาณก้อนใหญ่ พวกเราเข้าใจว่าหลายโครงการมีความจำเป็น แต่รูปแบบการตั้งงบประมาณ ควรเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับหน่วยงานด้านความมั่นคงหน่วยงานอื่น จึงขอปรับลดงบการก่อสร้างอาคารราชการของกองทัพบกลง 5%
จากนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับมาตรา 8 ตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก ด้วยคะแนน 254 เสียง ไม่เห็นด้วย 137 เสียง งดออกเสียง 18 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก
เวลา 19.20 น. มีการอภิปรายมาตรา 9 กระทรวงการคลัง ที่ประชุมถามเห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก หรือจะเห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่สงวนความเห็นและผู้แปรญัตติสงวนคำแปรญัตติ ผลปรากฏว่า จากจำนวนสมาชิก 390 เสียง เห็นด้วย 252 เสียง ไม่เห็นด้วย 133 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง

