โพลชี้ไม่อยากเห็น "ปชน." จับมือ "ภท." มองผลเสียมากกว่าผลดี เชื่อพรรคส้มซ่อนดีลลับหวังช่วย 44 สส.พ้นผิด คนไทยเครียดการเมือง ดัชนีต่ำสุดรอบ 20 เดือน กังวลเรื่องไม่มีเงินใช้มากกว่าไร้นายกฯ
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค เผยว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้ทำการสำรวจประชาชนทั่วทุกภูมิภาค จำนวน 1,500 คน ถึงเรื่อง “ทิศทางการจัดตั้งรัฐบาล ของพรรคประชาชน” โดยได้สอบถามว่า อยากเห็นพรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทยในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งเสียงผู้สำรวจส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า ไม่อยากเห็น 30.5% และไม่อยากเห็นอย่างยิ่ง 12.9% ขณะเดียวกันผู้ให้สำรวจบางส่วนลงความเห็นว่า อยากเห็นอย่างยิ่ง 13.5% และอยากเห็น 12.8% สำหรับส่วนที่เหลืออีก 20.2% ระบุว่าไม่แน่ใจ
พร้อมกับได้สำรวจต่อว่า “สาเหตุใดที่เป็นไปได้มากที่สุดที่พรรคประชาชนจะตัดสินใจสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย” ผลปรากฏว่า เพื่อทำข้อตกลงทางการเมืองในการช่วยเหลือกลุ่ม สส. 44 คน ให้พ้นผิด 42.5%, มีอุดมการณ์และนโยบายที่สอดคล้องกัน 17.4%, เพื่อสนับสนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล (หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 15.5%, เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ต่อได้ 10.4%
และเมื่อถามถึงมุมมองต่อการที่พรรคใหญ่สองพรรคจับมือกันจะส่งผลดีหรือผลเสียต่อระบบการเมืองไทยในภาพรวมอย่างไรบ้าง ผลสำรวจออกมาว่า ผลเสียมากกว่า 62.9%, ผลดีมากกว่า 7.7% และยังไม่แน่ใจ 29.4%
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนสิงหาคม 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,208 คน พบว่า ให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนสิงหาคม 2568 เฉลี่ย 3.71 คะแนน ลดลงจากเดือน ก.ค.2568 ที่ได้ 3.86 คะแนน
ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุดคือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 4.59 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุดคือ ผลงานของนายกรัฐมนตรี 3.18 คะแนน นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีบทบาทโดดเด่น คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย ร้อยละ 38.16
ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาทโดดเด่นคือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 51.15 ผลงานฝ่ายรัฐบาลที่ชื่นชอบคือ โอนเงินช่วยชาวนา ร้อยละ 40.90 ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบคือ ตรวจสอบการดำเนินงานให้โปร่งใส ร้อยละ 50.42
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ดัชนีการเมืองไทยเดือนสิงหาคมต่ำสุดในรอบ 20 เดือน สะท้อนว่าประชาชนวันนี้ทั้ง “เครียดการเมือง” และ “เครียดเงินในกระเป๋า” ไปพร้อมกัน ทั้งคดีการเมือง สถานการณ์ไทย-กัมพูชา นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท และปัญหาค่าครองชีพ ล้วนกระทบต่อความรู้สึกและทำให้ความเชื่อมั่นลดลงต่อเนื่อง จนกว่าจะได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่เข้ามาและพิสูจน์ว่าจะสามารถแก้ปัญหาประชาชนได้จริง
นายนพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่องความกังวลของคนไทย ช่วงสุญญากาศไร้นายกรัฐมนตรี จาก 1,136 ตัวอย่าง ประชาชนส่วนใหญ่มีความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมือง เมื่อไร้นายกรัฐมนตรี โดยกลุ่มที่ระบุว่า “กังวลมากถึงมากที่สุด” มีสัดส่วนสูงถึง 51.7% ขณะที่กลุ่มที่ “กังวลปานกลาง” อยู่ที่ 29.4% และอีก 18.9% ระบุว่ามีความกังวลน้อยถึงไม่กังวลเลย
อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนต่อปัญหาเศรษฐกิจและค่าใช้จ่าย เมื่อไร้นายกรัฐมนตรี มีสัดส่วนที่สูงเด่นชัด โดยกลุ่มที่ “กังวลมากถึงมากที่สุด” มีมากถึง 81.9% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความวิตกด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ขณะที่มีเพียง 10.3% ที่กังวลในระดับปานกลาง และอีก 7.8% ระบุว่ากังวลน้อยถึงไม่กังวลเลย
เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความกังวลต่อสังคมและความมั่นคง พบว่า กลุ่มที่ระบุว่ากังวลมากถึงมากที่สุดมีอยู่ 47.9% และกลุ่มที่กังวลปานกลางมีสัดส่วน 39.2% ส่วนที่เหลือ 12.9% ระบุว่ากังวลน้อยถึงไม่กังวลเลย ที่น่าสนใจคือ การเปรียบเทียบระหว่างความกังวลต่อการไม่มีนายกรัฐมนตรี กับความกังวลต่อการไม่มีเงินใช้ พบว่า ประชาชน 42.9% มีความกังวลเรื่องไม่มีเงินใช้มากกว่าการไม่มีนายกรัฐมนตรี ขณะที่ 18.3% กังวลต่อการไม่มีนายกรัฐมนตรีมากกว่าเรื่องไม่มีเงินใช้ และ 25.6% เห็นว่ากังวลทั้งสองเรื่องเท่ากัน
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “สนใจไหม นายกใหม่ พรรคการเมืองใหม่” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 25-26 ส.ค.2568 จากประชาชนจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วย เมื่อถามถึงอาชีพของบุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ ที่ประชาชนต้องการในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ร้อยละ 32.44 ระบุว่านักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ รองลงมา ร้อยละ 24.05 ทหาร, ร้อยละ 19.54 นักการเมืองอาชีพระดับชาติ, ร้อยละ 16.26 นักกฎหมาย, ร้อยละ 16.11 ข้าราชการ เป็นต้น
ด้านช่วงอายุ (เจเนอเรชัน) ของบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ร้อยละ 65.57 ระบุว่า Gen X (อายุระหว่าง 45–60 ปี) รองลงมา ร้อยละ 24.96 Millennials หรือ Gen Y (อายุระหว่าง 29–44 ปี), ร้อยละ 9.24 Baby Boomers (อายุระหว่าง 61–79 ปี) และร้อยละ 0.23 Silent Gen (อายุระหว่าง 80–100 ปี).
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท


