ผวาการเมือง เกมลากยาว ทุบเศรษฐกิจ

เอกชนเกาะติดการเมืองใกล้ชิด ลั่นไม่ยึดติดรัฐบาลขั้วไหน ขอความชัดเจน "ผู้นำ-ครม." ที่มีศักยภาพ ด้าน ส.อ.ท.ห่วงเบิกจ่ายภาครัฐต่ำเป้าฉุด ศก. ชี้ความไม่แน่นอนการเมืองยิ่งยาวยิ่งไม่ดี

เมื่อวันที่ 3 กันยายน นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)  ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า กกร.ได้ติดตามความเคลื่อนไหวและประเมินสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังฝุ่นตลบอย่างใกล้ชิด เพราะทำให้บรรยากาศการเมืองฝุ่นตลบ เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองกำลังซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ที่เผชิญแรงกดดันทั้งกำลังซื้อภายในที่หดตัว หนี้ครัวเรือนสูง ภาษีการค้าจากสหรัฐ ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนปัญหาชายแดนและการปิดด่านกับประเทศเพื่อนบ้าน

 “เอกชนไม่ได้ยึดติดว่าขั้วใดจะรวมเสียงได้ หรือหากต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ก็ขอให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญโดยเร็ว และหากประเทศมีผู้นำและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีศักยภาพ สามารถประสานงานกับทุกฝ่ายได้ ก็จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันสร้างความชะงักงันในการเดินหน้าต่อ เพราะไม่รู้ว่าควรจะไปซ้ายหรือขวา ในแง่เอกชนพูดตลอดเวลาอยู่แล้วว่าต้องการความชัดเจน มีรัฐบาลที่ดี ชอบธรรมด้วยกฎหมาย เป็นที่ยอมรับต่อนานาชาติและประชาชน มีความสามารถในการบริหาร เพราะตอนนี้เรายืนอยู่ในภาวะที่เจออุปสรรคเต็มไปหมด” นายพจน์ระบุ

ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่มีปัจจัยลบทั้งภายนอกและภายใน เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาการปะทะระหว่างชายแดน ทำให้หากรัฐบาลไม่เข้มแข็ง เอกชนเดินหน้าต่อลำบาก ส่วนการเป็นรัฐบาลระยะเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา หรือยุบสภาทันทีตอนนี้นั้น ต้องบอกว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมีผลกระทบอยู่แล้ว แต่การเป็นรัฐบาล 4 เดือนก่อนถือเป็นคำตอบทางการเมือง และเชื่อว่าเป็นคำตอบของเศรษฐกิจด้วย เพราะนโยบายระยะยาวยังต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนมากกว่านี้ ส่วนสาเหตุที่ยังคงคาดการณ์จีดีพีไว้เท่าเดิม เพราะมองว่าการส่งออกยังสามารถบวกได้ มีคำสั่งซื้อเข้ามาค่อนข้างดี แม้มีอาการช็อกเกิดขึ้นบ้าง

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า  ภาวะการเมืองที่ยังไม่ลงตัวในตอนนี้ เปรียบเทียบระหว่างการยุบสภาทันทีในตอนนี้ หรือจัดตั้งรัฐบาลเข้ามาทำงานในกรอบเวลา 4 เดือน จากนั้นจึงทำการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ตามที่พรรคประชาชนตั้งเงื่อนไขไว้นั้น ประเมินว่าการทอดเวลานานมากขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยาวเกินไป ถือว่าไม่เป็นผลดีอยู่แล้ว ภาคเอกชนส่วนต้องการความรวดเร็วและความชัดเจนมากที่สุด

นอกจากนี้ งบประมาณปี 2568 ภาครัฐยังเบิกได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมระยะเวลา 11 เดือนใกล้ครบ 1 ปีแล้ว แต่สามารถเบิกไปได้เพียง 50% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายมาก เทียบกับตัวเลขเฉลี่ยในอดีตที่อยู่ประมาณ 60% ถือเป็นความกังวลว่าการเบิกจ่ายของรัฐบาลจะมีการชะงักงัน ไม่เต็มที่เท่าที่ควร

 “ความสำคัญในตอนนี้คือ ภาคการค้าระหว่างชายแดน โดยเฉพาะไทยและกัมพูชา ที่ยอดการค้าสะสมติดลบ 10% และหากประเมินตัวเลขเฉพาะเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา การส่งออกเหลือเพียง 370 ล้านบาท ติดลบกว่า 97% ทำให้ต้องรีบเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งทางตรง และผู้ผลิตสินค้าโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเป็นที่มาของความต้องการรัฐบาลเร็วที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่รออยู่” ประธาน ส.อ.ท.ระบุ

อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ต้องการคือ เป็นคนมีความรู้ คนเก่ง และคนดี กล้าตัดสินใจในประเด็นต่างๆ เพราะมีความสำคัญในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวนสูงแบบนี้ โดยไม่ว่าจะใช้เวลาก่อนเลือกตั้งใหม่ 5-6 เดือน หรือลากยาวไปเป็นปี ในช่วงระหว่างนั้น ภาคการลงทุนจะชะลอตัวรอดูความชัดเจนก่อน แต่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันต้องการการแก้ไข้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ซึ่งการทำงานตอบสนองอาจช้าเกินไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.