DSIตีปี๊บคดีฮั้ว ขู่1,200พยาน! ร่วมมือให้การ

สว.เรียกร้อง “อนุทิน” ใช้เวลา 4 เดือนเคลียร์ปมฮั้ว สว. “ดีเอสไอ” ชี้มีโหวตเตอร์พลีชีพรับเงิน รับพยานไม่ให้ความร่วมมือ ขู่หากขัดหมายเรียก 2 รอบจ่อแจ้งความเอาผิด คาด ก.ย. ไล่สอบปากคำ 1,200 ราย กระจาย 45  จังหวัดจบ

เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2568 นายปฏิมา จีระแพทย์  สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์ถึงคดีฮั้ว สว.ว่า อยากฝากไปถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้เร่งกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริง   โดยเฉพาะข้อกล่าวหาเรื่องเส้น-เงินให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการมีเพียง 2 อย่าง คือ 1.ผู้ที่ทำผิดต้องยอมรับผิดอย่างสง่าผ่าเผย และได้รับโทษตามกฎหมาย และ 2.ผู้ที่ไม่ผิด ต้องเร่งทำงานต่อไปอย่างโปร่งใส และสร้างประโยชน์ให้ประเทศ

“หากเรื่องนี้กระจ่างภายใน 4 เดือน พร้อมคลี่คลายคดีการเมืองต่างๆ อย่างยุติธรรม ประเทศไทยจะฟื้นฟูความศรัทธาในรัฐสภาและกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริง” นายปฏิมากล่าว

ส่วนความคืบหน้าของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นั้น ล่าสุด คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีตรวจสอบขบวนการอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. เผยว่า ภายหลังจากที่อธิบดีดีเอสไอมอบหมายพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจาก 10 กองคดีสอบสวนปากคำพยานทั้ง 1,200 ราย  กระจายทั่วพื้นที่ 45 จังหวัด ที่มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า เป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ไปสมัคร สว. แต่กลับไม่ได้ลงคะแนนให้ตัวเอง และไปเลือกลงคะแนนให้บุคคลอื่นที่จัดตั้งขึ้น หรือเรียกว่าเป็นการพลีชีพ หรือโหวตเตอร์ โดยก่อนหน้านี้คณะพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกพยานไปแล้ว 72 ราย โดยมีเพียง 18 รายที่มาเข้าพบ ขณะที่พนักงานสอบสวนยังได้ออกหมายเรียกพยานเพิ่มเติมอีก 480 ราย

“ภาพรวมการสอบสวนปากคำพยาน กลับพบว่าไม่ค่อยให้ความร่วมมือ และไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดี”

ทั้งนี้ หากมองเฉพาะในส่วนของพยานในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ที่มีการออกหมายเรียกไป 24 รายก่อนหน้านี้ ล่าสุดก็ยังไม่มีใครเข้ามาพบ ซึ่งพนักงานสอบสวนมองว่าพยานอาจติดขัดเรื่องธุระใดๆ ก็ไม่ไปเร่งรัดกดดัน แต่จะต้องลงพื้นที่ไปพบพยานอีกครั้ง รวมถึงพยานในพื้นที่จังหวัดอื่นด้วยที่ยังขอเลื่อนไม่เข้าพบพนักงานสอบสวน ก็ต้องลงพื้นที่ซ้ำอีกครั้ง และพยายามไล่เรียงสอบปากคำพยานให้ครบทั้ง 1,200 รายเพื่อนำเข้าสำนวน

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษระบุว่า ในกรณีการออกหมายเรียกพยาน หากมีหมายเรียกพยานครั้งที่ 2 รวมถึงมีพฤติการณ์ไม่ให้ความร่วมมือ ขัดหมายเรียกพยาน พนักงานสอบสวนจะประมวลรายละเอียดทั้งหมด เพื่อจะได้พิจารณาแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ เพื่อให้ตำรวจดำเนินคดีในส่วนของการขัดหมายเรียกพยานต่อไป แต่ยืนยันว่าในตอนนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังไม่มีการแจ้งความขัดหมายเรียกกับพยานรายใด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภายในเดือน ก.ย. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะทยอยสอบสวนปากคำพยาน 1,200 ราย ทั้ง 45 จังหวัดเสร็จสิ้น

“แม้ว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร และมีการพุ่งเป้าถึงสำนวนคดีอั้งยี่ ฟอกเงิน สว.ของดีเอสไอว่าจะเป็นอย่างไรนั้น คณะพนักงานสอบสวนไม่ถือเป็นข้อหนักใจ ก็ต้องดำเนินการตามพยานหลักฐาน เพราะเราทำตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนเรื่องคดีฮั้ว สว. ตามกฎหมายการเลือกตั้งที่ก่อนหน้านี้ดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ส่วนนี้ก็เป็นพยานหลักฐานคู่ขนานกับคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว.ของดีเอสไอ หากส่วนของ กกต.มีความชัดเจนในกลุ่มของผู้กระทำความผิด ก็เป็นเหมือนน้ำหนักค้ำยันพยานหลักฐานระหว่างสำนวนคดีอาญาได้ด้วย ซึ่งสำนวนคดีอั้งยี่-ฟอกเงินของดีเอสไอ หากพบหลักฐานผู้กระทำความผิด ดีเอสไอก็ทยอยส่งฟ้องแต่ละล็อตได้ หรืออาจรวมเป็นสำนวนกลุ่มใหญ่ภาพรวมก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ”.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.