งานแรกรับขวัญนายกฯ หนู “มท.” เบรกเอี๊ยด เพิกถอนที่ดินเขากระโดง รอศาลปกครองชี้ขาด พร้อมตั้ง คกก.ตรวจสอบ ด้านกรมที่ดินร่อนเอกสารแจงยิบสวนคำสั่ง "เดชอิศม์" ไล่บี้พรรคส้มตรวจสอบเข้มหวั่นโดนรัฐบาลแทรกแซง ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญตีตก 2 คำร้อง โกงเลือกตั้ง สว. ยังรอความเห็น กกต.ปมถอด "ภูมิธรรม-ทวี"
เมื่อวันพุธ ที่กระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อดีตอธิบดีกรมที่ดิน และนายขจรเกียรติ รักพานิชมณี อธิบดีกรมที่ดิน แถลงข้อสรุปภายหลังกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน กรณีไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์
นายขจรเกียรติกล่าวว่า เรื่องข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง ขณะนี้อยู่ในการพิจารณาคดีของศาลปกครองด้วย ทางกระทรวงมหาดไทยจึงมีการตรวจสอบในส่วนของตนเองด้วยเช่นกัน โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา และเห็นว่าจะดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 โดยน้อมรับปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองและศาลฎีกา
นายขจรเกียรติกล่าวว่า ในส่วนการยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดิน 35 ราย ตามคำพิพากษา ได้มีการยกเลิกคำขอโฉนดที่ดินไปแล้วตั้งแต่ปี 2560 ส่วนที่อยู่ในที่ดิน 5,083 ไร่ ทางกรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและดำเนินการจนถึงขั้นยุติเรื่อง แต่การรถไฟฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ทางกรมที่ดินดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงให้มีการยกคำร้อง เพื่อให้การรถไฟฯ ได้มีการยกคำร้องไปในระดับที่สูงขึ้น คือกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจากนั้นกระทรวงมหาดไทยก็ได้มีการยกคำร้อง การรถไฟฯ จึงไปฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ซึ่งศาลได้รับคำร้อง และให้กรมที่ดินจัดทำคำให้การภายในวันที่ 10 ตุลาคมนี้
เมื่อถามว่า ตระกูลชิดชอบที่มีความพัวพันกับกรณีดังกล่าว มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง นายขจรเกียรติกล่าวว่า ขั้นตอนที่ดำเนินการไปแล้วนั้น ในอำนาจหน้าที่ของกรมที่ดินได้ดำเนินการจนสุดแล้ว ซึ่งตอนนี้อยู่ที่การพิจารณาของศาล ดังนั้น หากศาลต้องการเอกสารเพิ่มเติมกับกรมที่ดิน ก็จะมีการแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
เมื่อถามถึงกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เคยระบุว่าสิ้นเดือนกันยายนนี้จะมีการเซ็นเพิกถอนการถือครองที่ดินเขากระโดง แต่วันนี้มีการแถลงออกมาอีกแบบหนึ่ง แสดงว่านายภูมิธรรมใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือไม่ นายอรรษิษฐ์กล่าวว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเราก็ดำเนินการไปตามนั้น แต่เมื่อกระทรวงได้มีข้อสั่งการไปให้กรมที่ดินดำเนินการ 6-7 ข้อ คือการตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องแนวเขตต่างๆ ให้ชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กรมที่ดินได้ออกเอกสารชี้แจงโดยระบุช่วงหนึ่งว่า ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 582/2566 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2566 ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อดำเนินการกับที่ดินแปลงอื่น จำนวน 995 แปลง ที่อยู่ในบริเวณที่การรถไฟฯ อ้างสิทธิ ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว
ข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนเป็นที่ยุติว่าที่ดินเป็นของการรถไฟฯ และการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่เขากระโดงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงมีความเห็นไม่สมควรเพิกถอนโฉนดที่ดิน อธิบดีกรมที่ดินได้พิจารณาความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนฯ แล้วเห็นชอบด้วย จึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง
การรถไฟฯ จึงได้อุทธรณ์คำสั่งยุติดังกล่าว ซึ่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน พิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งยุติเรื่องของอธิบดีกรมที่ดินชอบด้วยกฎหมาย จึงยกอุทธรณ์ของการรถไฟฯ และกรมที่ดินได้แจ้งสิทธิการฟ้องคดีให้การรถไฟฯ ทราบแล้ว
แจงสวนเดชอิศม์
เนื่องจากคำสั่งให้ยุติเรื่องตามข้อ 2 การรถไฟฯ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้เรียกอธิบดีกรมที่ดินมาไต่สวน เนื่องจากเห็นว่าอธิบดีกรมที่ดินยังดำเนินการไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่ออธิบดีกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ จึงเป็นการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางแล้ว ส่วนการรังวัดหาแนวเขตที่ดินของการรถไฟฯ เป็นเพียงข้อแนะนำของศาล ซึ่งกรมที่ดินก็ได้ดำเนินการแล้วเช่นกัน แต่หากการรถไฟฯ เห็นว่าอธิบดีกรมที่ดินดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ถูกต้องตามคำพิพากษา การรถไฟฯ ก็ชอบที่จะยื่นเป็นคำร้องต่อศาลปกครองชั้นต้นที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดี ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณามีคำสั่งหรือไต่สวน ศาลปกครองสูงสุดจึงยกคำร้องของการรถไฟฯ
การรถไฟฯ จึงได้ฟ้องกรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดิน และปลัดกระทรวงมหาดไทย ต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งยุติเรื่องและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ซึ่งขณะนี้ศาลได้รับคำฟ้องไว้พิจารณา และอยู่ระหว่างกรมที่ดินทำคำให้การต่อสู้คดี
เอกสารกรมที่ดินระบุด้วยว่า รมช.มหาดไทย (นายเดชอิศม์ ขาวทอง) ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินกรณียุติเรื่อง ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบฯ เห็นว่า อธิบดีกรมที่ดินยังดำเนินการไม่ครบถ้วนก่อนการมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง จึงเห็นควรให้อธิบดีกรมที่ดินทบทวนคำสั่งยุติเรื่องดังกล่าว
“กรมที่ดินพิจารณาแล้วขอเรียนว่า ที่ผ่านมากรมที่ดินได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว ทั้งตามคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ ภาค 3 คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ประกอบกับปัจจุบันการรถไฟฯ ก็ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางตามข้อ 4 แล้ว ทุกฝ่ายจึงควรรอผลคำพิพากษาของศาล อันจะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับหลักประกันความเป็นธรรมตามกระบวนการจากองค์กรตุลาการที่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตาม หากการรถไฟฯ เห็นว่าตนมีสิทธิในที่ดินดีกว่า ก็ไม่ตัดสิทธิการรถไฟฯ ที่จะไปใช้สิทธิทางศาลยุติธรรม” เอกสารกรมที่ดินระบุ
ที่รัฐสภา นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. และนายอานุภาพ ลิขิตอำนวยชัย สส.สมุทรสงคราม พรรคประชาชน รับหนังสือจากกลุ่มประชาชนต่อต้านการทุจริต 4 ภาค เพื่อติดตามคดีเขากระโดง และคดีฮั้ว สว. จึงขอให้ฝ่ายค้านได้ดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี อาจใช้ตำแหน่งหน้าที่ฟอกขาวหรือแทรกแซงคดีได้
วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีที่นายภิญโญ บุญเรือง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ว่า การดำเนินการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเลขาธิการ กกต. ในการกำหนดวิธีการลงคงคะแนนเลือก สว. ส่งผลให้การเลือก สว.ดังกล่าวมิใช่วิธีการลงคะแนนลับ เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 25 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้การเลือก สว.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และขอให้วินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47(2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 213
ตีตกโกงเสือก สว.
ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบ ปรากฏว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 2 เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม
ส่วนกรณีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือก สว.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้วตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
สำหรับกรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 213 นั้น เป็นการขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สิทธิไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 และมาตรา 231 (1) กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 48 ประกอบมาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญยังได้พิจารณาคดีที่นายวัฒนา ชมเชย ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. และนายณัฏฐกร คงเดชา ผอ.สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดราชบุรี ไม่ได้ทำหน้าที่จัดการเลือก สว.อย่างเที่ยงธรรม ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 108 ก. คุณสมบัติ (3) และมาตรา 215 วรรคสอง ด้วยการเอื้อประโยชน์ให้ใช้แบบ ส.ว.3 ที่มีลักษณะไม่เป็นไปตามที่ กกต.กำหนดไว้ ผู้ร้องยื่นหนังสือแจ้งเบาะแสการทุจริตให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 ทราบ แต่ผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีมติยกคำร้องดังกล่าว แสดงให้เห็นเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. และเป็นการลิดรอนสิทธิการได้รับเงินรางวัลในการแจ้งเบาะแส
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และเมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้ว คำขออื่นย่อมเป็นอันตกไป
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม สิ้นสุดลง ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ให้รอความเห็นและเอกสารหลักฐานจากเลขาธิการ กกต. ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ขยายระยะเวลาจัดทำความเห็นและจัดส่งเอกสารหลักฐาน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.


