สาง‘บัญชีม้า’เสร็จสิ้นเดือน

“สิริพงศ์” ย้ำคนละครึ่งมาแน่  กำลังเคาะให้สิทธิคนเสียภาษีเพิ่มเติม ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ก็ได้ด้วย “ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ” เปิดตัวเลขกลโกงทางดิจิทัลตั้งแต่ปี 2565 เสียหายกว่าล้านราย มูลค่าใกล้แสนล้านบาท ชี้ถูกหลอกใน 3 นาทีแต่กว่ารู้ตัวผ่านไป 18 ชม. บอกปัญหาบัญชีม้าจะเคลียร์จบในสิ้นเดือนนี้

เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายคนละครึ่งว่า มีแนวทางเบื้องต้นว่าผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับสิทธิ์ในลักษณะท็อปอัพ เช่น หากบัตรสวัสดิการให้สิทธิ์ 300 บาท รัฐบาลจะเติมให้อีก 700 บาท รวมเป็น 1,000 บาท เพื่อไม่ให้น้อยกว่าประชาชนทั่วไป ขณะเดียวกันยังมีการพิจารณามอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี เช่น อาจได้รับสิทธิ์ 1,200 บาทต่อคนแทน 1,000 บาท ซึ่งต้องไปดูขั้นตอนทางเทคนิค แต่นโยบายนี้ปฏิบัติแน่

 “ส่วนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เลื่อนจัดเก็บเต็มอัตราออกไป เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งหลายคนการได้มาซึ่งที่ดินคือการเก็บหอมรอมริบ เราไม่ควรต้องไปลงโทษคนกลุ่มนั้นนี่คือแนวทางของรัฐบาลชุดนี้ กำลังหาทางออกที่เหมาะสมกับทุกฝ่าย”นายสิริพงศ์กล่าวและว่า นโยบายด้านพลังงาน รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการโซลาร์ชุมชนภายใน 4 เดือน ส่วนนโยบายเฉพาะหน้า จะตรึงราคาพลังงาน และหากทำสำเร็จก็มองไปถึงการลดราคาพลังงานในปีหน้าเลย

 นายสิริพงศ์กล่าวอีกว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยังมีแนวคิดผลักดันให้แต่ละจังหวัดแต่งตั้งรองผู้ว่าฯ ด้านเศรษฐกิจ เพื่อดูแลและขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงรุกในระดับพื้นที่ ถือเป็นการต่อยอดแนวทางที่เคยทำไว้สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

วันเดียวกันในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประจำปี 2568 หัวข้อ “เท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance” นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่าทศวรรษที่ผ่านมาเงินดิจิทัลได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะระบบการชำระเงินดิจิทัล ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของไทย คือ พร้อมเพย์ที่ประชากรไทยกว่า 70% ได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และปัจจุบันใช้งานกว่า 76 ล้านรายการต่อวัน และมีมูลค่าการโอนเงินเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 144 พันล้านบาท แต่ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงภัยการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก และกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของคนไทยในวงกว้าง โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วกว่า 1 ล้านราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 9.8 หมื่นล้านบาท

นายเศรษฐพุฒิกล่าวอีกว่า ธปท.ได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและนอกภาคการเงินในการเสริมสร้างระบบการจัดการภัยการเงินให้เข้มแข็งและเป็นระบบมาอย่างต่อเนื่อง แต่การแก้ปัญหาภัยการเงินมีความท้าทายไม่น้อย เห็นได้ชัดจากกรณีการจัดการบัญชีม้า โดยล่าสุดเร่งปรับกระบวนการโดยให้การปลดระงับบัญชีทำได้เร็วขึ้นไปตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังปรับปรุงกลไกเพื่อลดผลกระทบต่อผู้สุจริตให้ทำได้ภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อช่วยคลายความกังวลของร้านค้า และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล

“จากการสำรวจคนไทยกว่า 7,000 ตัวอย่างพบว่า 70% เคยถูกชักชวนหรือหลอก และกว่า 30% ได้รับความเสียหาย และครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร และเงินกว่า 50% ถูกโอนออกใน 3 นาที ขณะที่เหยื่อใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงกว่าจะรู้ตัวและแจ้งความ ทำให้การรับมือของสถาบันการเงินต้องแข่งกับเวลาอย่างยิ่ง และงานวิจัยชี้ว่ามีเพียง 10% ของผู้เสียหายที่แจ้งความ ส่งผลให้สถาบันการเงินไม่อาจแยกผู้สุจริตออกจากผู้ทุจริตได้ชัดเจน”นายเศรษฐพุฒิกล่าว

นายเศรษฐพุฒิกล่าวอีกว่า  ธปท.และภาคีได้จัดตั้งระบบฐานข้อมูล Central Fraud Registry เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถาบันการเงิน และขยายความครอบคลุมไปถึงทั้งธนาคาร นอนแบงก์ และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมๆ กับการพัฒนาระบบการรับแจ้งความที่สะดวกขึ้นผ่าน AOC 1441 อีกด้วย ที่ผ่านมา มาตรการต่าง ๆ เริ่มเห็นผลเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง เช่น การโจรกรรมแบบไม่ได้รับอนุญาตในรูปแบบแอปดูดเงิน ทยอยหมดไปตั้งแต่ต้นปี 2568 จากที่เคยมีถึง 7,444 กรณีในปี 2566 ขณะเดียวกันได้จัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งก็มีส่วนทำให้ความเสียหายของกรณีโดนหลอกให้โอนเอง ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 8,950 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ของปี 2567 เป็น 5,651 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 2568

ด้าน น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษก ธปท. ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวแจ้งเตือนห้ามโอนเงินเข้าบัญชีของตัวเอง กลับไป-มา ทำให้ถูกอายัดได้ว่า ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงข่าวเท็จ

ขณะที่นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึงการจัดการปัญหาบัญชีม้าที่ผู้กระทำผิดมักใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางในการถ่ายเทเงินที่ได้จากการฉ้อโกงอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ว่า ก.ล.ต.ได้ทำงานร่วมกับคณะทำงานที่ดูแลปัญหาบัญชีม้า โดยยกระดับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น โดยปี 2568 ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้อายัดบัญชีต้องสงสัยไปแล้วกว่า 31,216 บัญชี มูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 229 ล้านบาท โดยการอายัดเน้นสกัดกั้นตั้งแต่ต้นทางในบัญชีธนาคารก่อนแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล

นายอเนกกล่าวอีกว่า ขณะที่สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน ในปี 2568 (1 ม.ค.-15 ก.ย.2568) ได้รับแจ้งเบาะแสการหลอกลงทุนรวมทั้งสิ้น 6,354 ครั้ง ผ่าน 6 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. โทรศัพท์ อีเมล์ การเดินทางมายังสำนักงาน ระบบบริการสนทนา และไปรษณีย์ จากจำนวนนี้มีบัญชีโซเชียลมีเดียที่เข้าข่ายหลอกลงทุน 3,036 บัญชี ซึ่ง ก.ล.ต.ได้ประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและหน่วยงานภาครัฐเพื่อ ปิดกั้นบัญชีเหล่านี้ 100% ภายในเวลา 7 นาที-48 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังให้คำปรึกษาเรื่องการหลอกลงทุนไปแล้ว 3,318 ครั้ง

ส่วน พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) หรือ IAC ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่วอร์รูม IAC ปฏิบัติการเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งการตรวจสอบเส้นทางการเงินที่ผิดปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อโอนเงินให้มิจฉาชีพ โดยล่าสุดวอร์รูม IAC ตรวจสอบพบว่ามีการทำธุรกรรมโดยมีการโอนเงินจำนวน 2 ล้านบาท จากบัญชี น.ส.บุศราผู้เสียหาย ไปยังบัญชีปลายทาง ชื่อบัญชี บริษัท ซู หมิง เทรด จำกัด ซึ่งมีเคสไอดีว่าเป็นบัญชีม้านิติบุคคล เจ้าหน้าที่วอร์รูม IAC พบความผิดปกติจึงประสานระงับธุรกรรมการโอนเงินดังกล่าวไว้ได้ และประสานผู้เสียหายให้รับทราบ

จากการสอบถาม น.ส.บุศรา ผู้เสียหายทราบว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2568 ได้รับโทรศัพท์จากมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น อ้างว่ามีการใช้ชื่อของผู้เสียหายไปเปิดบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาในจังหวัดขอนแก่น และมีการรับโอนเงินทุจริตจำนวน 8 ล้านบาท ขอให้ผู้เสียหายยืนยันความบริสุทธิ์โดยการเปิดเผยทรัพย์สินและโอนเงินมาตรวจสอบ ผู้เสียหายเกิดความกลัวและหลงเชื่อ จึงโอนเงินทั้งหมดในบัญชี รวมทั้งขายหุ้นเพื่อนำเงินโอนเข้าบัญชีที่มิจฉาชีพแจ้งไว้ จำนวน 18 บัญชี รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งบัญชีสุดท้ายที่ผู้เสียหายจะโอนไปเป็นชื่อบัญชีบริษัท ซู หมิง เทรด จำกัด ซึ่งวอร์รูม IAC พบความผิดปกติจึงระงับการทำธุรกรรมได้ทัน 2 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการของวอร์รูม IAC ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.- 17 ก.ย.2568 มีจำนวนเคสที่นำเข้าวอร์รูม 635 เคส มูลค่าความเสียหายรวม 390,399,162 บาท วอร์รูมสามารถอายัดได้ 296 เคส มูลค่าทรัพย์สินที่อายัดได้ 133,205,476 บาท นอกจากนี้ยังพบเคสที่ถอนเงินสด 285 เคส มูลค่าเงินสดที่ถูกถอนรวม 149,636,756 บาท และยึดเงินสดได้ 6,169,700 บาท.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พท.ผวา ‘มันนีโพลิติกส์’

พรรคประชาชนเดินหน้าฝันแลนด์สไลด์ได้ สส. 250 ที่นั่ง จัดตั้งรัฐบาลประชาชน ดูจากตัวเลขผู้บริจาคให้พรรคมากกว่าแสนคน ขณะที่เพื่อไทยต้อนรับทีมสุวัจน์

ยึดเนิน350ได้แล้ว! ร่าง2ทหารกล้ากลับมาตุภูมิ/ส่งสัญญาณเตือนชนชั้นนำเขมร

ข่าวดี! ทหารไทยควบคุมเนิน 350 ได้แล้ว อยู่ระหว่างการสถาปนาความมั่นคง นำร่าง 2 วีรบุรุษกลับมาตุภูมิ ขณะที่กองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ ตรวจพบการปะทะเป็นระยะ