ไม่รอด! ศาลสั่งจำคุก 4 ปี 1 เดือน "ปารีณา" คดีรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติ ขุดเจาะน้ำบาดาล วางหลักประกัน 1 ล้านได้ประกันตัว
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ที่ศาลจังหวัดราชบุรี ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำ ที่ สวอ 1/2567 ที่พนักงานอัยการจังหวัดราชบุรียื่นฟ้อง บริษัท ปารีณา ไกรคุปต์ จำกัด โดยนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ กรรมการ จำเลยที่ 1 และนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี จำเลยที่ 2 ในความผิดต่อ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ร.บ.ป่าไม้ ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ร.บ.น้ำบาดาล
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างปี 2555 - วันที่ 24 พ.ย. 2562 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปบริเวณป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (ป่าเขาสน) ในท้องที่หมู่ที่ 6 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 4 แปลง แปลงที่ 1 เนื้อที่ 387 ไร่ 80 ตารางวา แปลงที่ 2 เนื้อที่ 207 ไร่ 2 งาน 41 ตารางวา แปลงที่ 3 เนื้อที่ 70 ไร่ 2 งาน 32 ตารางวา แปลงที่ 4 เนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 84 ตารางวา รวมที่ดิน 4 แปลง เนื้อที่ 681 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา
จำเลยทั้งสองร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกแผ้วถางแล้วดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสองหรือผู้อื่น โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันตัด ฟัน ทำลายต้นไม้และปลูกสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ ปลูกสร้างบ้านพัก ปักเสาไฟฟ้า สร้างถังบรรจุอาหารสัตว์ สร้างแท็งก์น้ำ และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล อันเป็นการยึดถือครอบครองทำประโยชน์ อยู่อาศัย ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ และเป็นเหตุให้สภาพที่ดิน ที่กรวด หรือที่ทราย ในบริเวณป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (ป่าเขาสน) ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐและอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวได้รับความเสียหายพังใช้การไม่ได้
โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือได้รับยกเว้นใดๆ ตามกฎหมายให้กระทำการดังกล่าวได้ ทั้งมิได้กระทำภายในเขตที่ได้จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรมที่รัฐมนตรี ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำด้วยประการใดๆ โดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลาย หรือเป็นเหตุให้เกิดการทำลาย หรือทำให้สูญหาย หรือเสียหาย แก่ทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติ คิดเป็นค่าเสียหายของรัฐ รวม 35,369,459 บาท
ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นป่าโดยนิยามตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ และยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนที่จำเลยทั้งสองให้การและนำสืบต่อสู้ว่า ที่ดินที่เกิดเหตุไม่มีสภาพเป็นป่า จำเลยทั้งสองเพียงแต่ครอบครองที่ดินต่อจากนายทวีบิดาของจำเลยที่ 2 นั้น
เห็นว่า แม้ที่ดินที่เกิดเหตุมิได้เป็นป่าโดยสภาพ เนื่องจากมีบุคคลเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ก่อน แผ้วถาง และก่นสร้างป่า ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะเข้าครอบครองมาเป็นระยะเวลานานแล้วและไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐโต้แย้งการที่มีบุคคลเข้ายึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ และไม่เคยมีหน่วยงานราชการใดแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบว่าที่ดินที่เกิดเหตุเป็นป่า จำเลยที่ ๒ จึงไม่ทราบว่าการครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุเป็นความผิดก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองย่อมทราบดีว่าที่ดินที่เกิดเหตุยังเป็นที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิใดๆ ตามกฎหมายที่ดิน เนื่องจากจำเลยที่ 2 เพียงแต่เป็นผู้มีชื่อครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุในแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) รวม 29 แปลง
ประกอบกับในช่วงที่จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่ง สส. จำเลยที่ 2 ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุตามแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) รวม 29 แปลง ซึ่งแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) มิใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์หรือ สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน และมิใช่ใบอนุญาตให้ครอบครองที่ป่าหรือที่ดินของรัฐ ดังนั้น จำเลยที่ 2 และในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจย่อมทราบดีว่าที่ดินที่เกิดเหตุทั้งสี่แปลง เป็นที่ดินที่ยังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิใดๆ ตามกฎหมายที่ดิน ที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นป่า ตามนิยามของกฎหมายที่บัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ การที่จำเลยทั้งสองยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุทั้งสี่แปลง จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ และฐานร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และจำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองต้องออกจากที่ดินที่เกิดเหตุ ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากป่าที่เกิดเหตุภายในระยะเวลาตามที่ศาลกำหนดนั้น พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 72 ตรี วรรคสาม และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสี่
ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้กระทำผิด คนงาน ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดออกไปจากที่ดินนั้น แต่ไม่ได้ให้ศาลมีอำนาจกำหนดระยะเวลาดังเช่นที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 31 วรรคท้าย
ดังนั้น ผู้กระทำผิด คนงาน ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดต้องออกจากป่าและที่ดินของรัฐที่เกิดเหตุทันทีนับแต่มีคำพิพากษา โดยศาลไม่จำต้องกำหนดระยะเวลาให้ออกตามที่โจทก์ขอ
พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคสอง, ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1), 108 ทวิ วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.น้ำบาดาลฯ มาตรา 16 วรรคหนึ่ง, 36 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1 เเสนบาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 ปี ฐานร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาลในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาลในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง
ฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 50,000 บาท และคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี ฐานร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาล ในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 10,000 บาท และคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 เดือน รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 1 เดือน ให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากป่าและที่ดินของรัฐที่เกิดเหตุ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำบาดาล อุดและกลบหลุมบ่อน้ำบาดาล
โดยภายหลังอ่านคำพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัว ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัว โดยกำหนดหลักประกัน 1 ล้านบาท.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69


