หนูรีเซตประเทศ ‘พท.อุบล’ซบภท.

"นายกฯ" ลั่น 4 เดือนไม่สูญเปล่า  จะตอกเสาเข็มสร้างหลักนิติธรรมประเทศ ยันใช้  กม.ตามความถูกต้อง ไม่กลั่นแกล้งหรือชี้เป็นชี้ตายใคร ปลุกซีอีโอร่วมกันรีเซตโครงสร้างประเทศ 3 ด้าน "มั่นคง-ศก.-สิ่งแวดล้อม"

 ชี้ปรับตัวช้าเสียอำนาจการต่อรองเวทีโลก เร่งเพิ่มศักยภาพพาไทยทวงคืนที่ 1 ในภูมิภาคจากเวียดนาม "เกรียง กัลป์ตินันท์" โผล่โรงแรมพูลแมน หึ่ง! บ้านใหญ่อุบลฯ ขน สส.เพื่อไทยซบภูมิใจไทย "อนุทิน" กลบเกลื่อนบอกแค่เพื่อนเนวินมาคุยกัน "เท้ง" เมินพลังดูดภูมิใจหนู มองบวกใกล้เลือกตั้งสลับค่ายเรื่องปกติ ข่มคืน "พท." เชื่อเลือกตั้ง "ปชน." ได้ 20 ล้านเสียง กวาด สส. 250 ที่นั่ง

ที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ถนนแจ้งวัฒนะ วันที่ 8 ต.ค. เวลา 09.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในเวทีสาธารณะด้านหลักนิติธรรม ครั้งที่ 3 หัวข้อ “หลักนิติธรรม : วาระแห่งชาติเพื่อความสามารถในการแข่งขันของไทย” ว่า เวทีนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของชาติได้มาร่วมกันมองอนาคตและขับเคลื่อนให้หลักนิติธรรมเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นพื้นฐานของความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้จริงในอนาคตอันใกล้

นายอนุทินกล่าวว่า ตนไม่ใช่นักกฎหมาย แต่เชื่อในเรื่อง Rule of law หลายๆ ท่านเคยทำงานด้วยกัน ถ้ามีคนอธิบายได้ในเรื่องของกฎหมาย ตนก็จะเชื่อในสิ่งนั้น ตนถูกใส่ความคิดมาว่าต้องเป็น ยึดถือและเชื่อมั่นในกฎหมาย และได้ยึดถือแนวคิดนี้มาโดยตลอด ความคิดนี้ทำให้อยู่รอดได้และประสบความสำเร็จพอสมควรในกิจกรรมต่างๆ ที่ทำ ไม่ว่าจะในสมัยยังประกอบธุรกิจ จนมารับใช้บ้านเมืองในฐานะนักการเมือง และเป็นรัฐมนตรีที่ต้องมาบริหารราชการแผ่นดิน

"ผมเชื่อว่าหลักความยุติธรรมเป็นเสมือนเสาเข็มที่สำคัญของทุกสังคม เพราะพวกเราทุกคน นอกจากจะต้องมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตในแต่ละวันแล้ว เราต้องมีกฎหมายเป็นที่พึ่ง และกฎหมายต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกคน วันนี้สิ่งที่คนกลัวว่าพวกผมจะมาใช้อำนาจในการที่จะเป็น  Justice for some (ความยุติธรรมสำหรับบางคน) จะเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ แต่ขอยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลที่ผมเป็นหัวหน้าอยู่ และปล่อยให้กลไกยุติธรรมดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น" นายอนุทินกล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ความเป็นธรรมคือรากฐานความเป็นปกติสุขของสังคมมนุษย์ ไม่มีประเทศใดในโลกจะแข่งขันได้อย่างยั่งยืน หากขาดหลักนิติธรรมที่มั่นคง การสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรงต้องอาศัยกฎหมายที่มีความมั่นคงแน่นอนและคาดเดาได้ นักลงทุนที่เราต้องการชักชวนเข้ามาต้องมีความไว้วางใจและเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และสังคมที่สงบสุขที่ตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นว่ากฎหมายทั้งหลายในประเทศนั้นจะถูกใช้เพื่อความเป็นธรรม

"หลักนิติธรรมสำหรับผม ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือเรื่องของวัฒนธรรมแห่งความเป็นธรรม ที่จะต้องปลูกฝังให้ดีอยู่ในทุกสังคม เพื่อให้เรามีสังคมที่เป็นธรรมและมีระบบที่ทุกคนเชื่อมั่นและยึดถือ และคนที่ใช้กฎหมายนั้นยืนหยัดอยู่บนความถูกต้องทุกประการ" นายกฯ กล่าว

นายอนุทินกล่าวว่า เรื่องของความเหลื่อมล้ำกัน ขาดเสถียรภาพทางการเมือง และปัญหากลไกการปกครอง เรื่องความปลอดภัย สแกมเมอร์ ยาเสพติดกำลังคุกคามประเทศ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องรักษาและยึดหลักนิติธรรมอย่างเข้มแข็ง ต้องมีความกล้าหาญที่จะบังคับใช้กฎหมาย โดยความถูกต้องเที่ยงธรรม ไม่ถูกครอบงำและชักจูงให้ใช้กระบวนการยุติธรรมมาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรือกลั่นแกล้งบุคคลใดที่คิดว่าเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง อย่างนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ยุติธรรมเพื่อทุกคน

ยึดหลักนิติธรรมไม่แกล้งใคร

"ใครจะทำให้คนนั้นผิดก็ไม่ได้ ถ้าเขาถูก เมืองไทยต้องไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราจะได้อาศัยอยู่ในประเทศที่มีหลักกฎหมายคุ้มครองได้อย่างเต็มที่ คนจะทำดีจะได้ไม่ต้องเกรงกลัว สิ่งที่อันตรายคือคนเก่ง คนดี ไม่กล้าทำสิ่งที่ดี เพื่อส่วนรวม เพราะเกรงกลัวกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมไปทำอันตรายเขา ทำเขาไม่ได้ ก็ไปทำคนใกล้ชิดเขา สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดอยู่ ดังนั้นเรามีหน้าที่ที่จะต้องตัดให้สิ้นซาก" นายอนุทินกล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ตนจะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกคนทราบดีคอร์รัปชันคือขัดขวางทุกอย่าง คนที่ตั้งใจดีมาเจอคอร์รัปชันบางทีท้อถอยก็มี แต่เราต้องลื่นต้องไม่ยอมแพ้ ความถูกต้องต้องชนะเสมอ ต้องทะลวงสิ่งนี้ไปให้ได้ รัฐบาลต้องทำทุกอย่างไม่ให้เกิดช่องโหว่ของกฎหมาย

"ถ้าพวกผมผิด ตอนเป็นฝ่ายค้านก็ต้องผิด มาเป็นรัฐบาลก็ต้องผิด ต้องดำเนินคดีให้ได้ ไม่ใช่พอมาอยู่ตรงนี้ช้าลง ขออย่าช้า ใครทำช้า ผมเอาเรื่องหนักยิ่งกว่าอีก เพราะผมทนไม่ได้กับกระบวนการยุติธรรมที่ทำเพื่อวัตถุประสงค์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างนั้นมันยิ่งกว่าเผด็จการ ชี้เป็นชี้ตายคนได้ คนที่ทำอย่างนี้ได้ต้องไม่เหลืออะไร เพราะคนที่มีอำนาจสูงสุด ประชาชนเลือกมา จะมาชี้เป็นชี้ตายและชี้อนาคตทิศทางประเทศไม่ได้เด็ดขาด สิ่งเหล่านี้ผมจะไม่มีวันยอมให้เกิด" นายกฯ กล่าว

นายอนุทินกล่าวว่า ในฐานะนายกฯ ทราบดีว่าการฟื้นฟูโครงสร้างเชิงระบบและหลักนิติธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา ต้องอาศัยความต่อเนื่อง แต่อยู่ที่รัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ พวกท่านต้องช่วยกันให้ความร่วมมือ ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ ใน 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ จะไม่เป็น 4 เดือนที่สูญเปล่า แต่จะเป็น 4 เดือนที่พวกตนตอกเสาเข็มวางฐานรากและสร้างโรดแมปให้รัฐบาลหน้า ซึ่งจะต้องถูกกรอบของระบบที่พวกท่านได้วางไว้ สร้างไว้ จะบังคับให้รัฐบาลใดๆ ก็ตามได้เดินต่อไป เพื่อทำให้ประเทศไทยของเรามีรากฐานที่มั่นคง และสามารถ ไปแข่งขันได้อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก

"ผมเชื่อว่าทุกคนจะเห็นความสำคัญของการที่ประเทศไทยจะต้องมี Rule of law หรือหลักนิติธรรม ทุกคนบอก ประเทศไทยเป็นนิติรัฐ เราต้องทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นนิติรัฐ มีเสียงเป็นที่ชื่นชม เป็นที่เชื่อมั่นของประชาคมโลก และเราจะไม่มีความกังวลใดๆ ในการที่จะผลักดันประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าไปในจุดที่พวกเราทุกคนต้องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และทำให้เกิดความยุติธรรมเกิดขึ้นกับประชาชนทุกคนในประเทศนี้อย่างยั่งยืนต่อไป" นายอนุทินกล่าว

ต่อมาเวลา 14.00 น. นายกฯ เดินทางมาที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ถ.รางน้ำ กรุงเทพฯ ซึ่งสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 ในหัวข้อ “The Future Direction of Thailand : เมื่อโลกเปลี่ยน...ประเทศไทยไปทางไหน?” พร้อมประกาศผลและมอบรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร ประจำปี 2568 “CEO Econmass Awards 2025”

นายกฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” ตอนหนึ่งว่า โลกของเราทุกวันนี้อยู่ยากกว่าสมัยที่เราเป็นเด็ก และเติบโตขึ้นมา สงครามความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ การเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม ระบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลต่อโลกอนาคต รวมถึงการปฏิวัติเทคโนโลยีที่เรียกว่า AI ที่กำลังเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจของโลก ทำให้ประเทศที่ปรับตัวช้า ไม่เพียงแต่สูญเสียทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสูญเสียอำนาจต่อรองในเวทีโลกด้วย

หนูลั่นรีเซตโครงสร้าง ปท.3 ด้าน

นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้เรามาคุยเรื่องการรีเซตโครงสร้างประเทศ เราต้องปรับระบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์อนาคตอีกต่อไป และวางรากฐานใหม่เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไป ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจ เราต้องทบทวนสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน ว่ายังจำเป็นหรือเหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของโลกหรือไม่ แม้แต่พรรคการเมืองเอง ถ้าพรรคไหนไม่ปรับตัวก็ถูกเรียกว่าพรรคไดโนเสาร์แล้วล้มหายตายจากไป ดังนั้น ทุกระบบที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ล้วนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลก

นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลที่ตนเป็นหัวหน้ารัฐบาลขณะนี้จะมีการรีเซตด้านความมั่นคง เพราะก่อนที่เศรษฐกิจจะเดินต่อไปได้ ความมั่นคงของประเทศต้องมีความชัดเจน ทั้งภายนอก และภายใน รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้ทั้งการทูต ทหาร และพลังทางเศรษฐกิจ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่ชีวิตประชาชน เปลี่ยนความตึงเครียดให้กลับมาเป็นความร่วมมือในอนาคตอันใกล้ นี่คือความคาดหวังและทิศทางที่เราต้องดำเนินต่อไป ขณะเดียวกันเราต้องจัดการกับปัญหาภัยสังคมที่กัดกร่อนประเทศควบคู่กันไปด้วย

"ผมได้สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการร่วมกัน โดยยึดหลักนิติธรรม โปร่งใส เป็นธรรม  กฎหมายของประเทศต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่เลือกปฏิบัติ และต้องหาทุกวิถีทางที่ต้องปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นต้นทุนแฝงอยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศของเรา โดยประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลก หากใครเข้าไปเป็นสมาชิกได้จะช่วยการยกระดับของประเทศ ซึ่งเน้นเรื่องกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ที่จะต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลต้องยกเครื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม กฎระเบียบต่างๆ ให้ได้มาตรฐานสากล" นายอนุทินกล่าว

นอกจากนี้ คือการรีเซตด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลมุ่งเน้นการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ และส่งเสริมภาคเกษตรกร สนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีฟื้นตัว พร้อมกับเร่งมาตรการลดค่าครองชีพ  ลดค่าพลังงาน ลดค่าขนส่ง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้ รัฐบาลจะเสริมความมั่นคงทางการเกษตร และพลังงานด้วยแนวทาง Smart farming การสนับสนุนพลังงานแสงอาทิตย์ภาคครัวเรือน และภาคการเกษตร และการควบคุมราคาสินค้าทางการเกษตรให้มีความเหมาะสม

 “เราต้องตั้งเป้าหมาย เพราะวันนี้เราตามเวียดนามถือว่าเป็นฝันร้าย ไม่เคยคิดว่าประเทศไทยจะมีเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าประเทศในภูมิภาค พวกเราต้องช่วยกัน ผมยังเชื่อมั่นว่าด้วยความสามารถและพื้นฐานที่ดีของระบบเศรษฐกิจไทยที่วางรากฐานมาอย่างยาวนาน ผมยังมั่นใจว่า เรายังจะกระโดดขึ้นมาได้ทัน ซึ่งรัฐบาลจะเรียกความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้กลับคืนมาหากพวกเราทุกคนให้ความร่วมมือ” นายอนุทินกล่าว

นายกฯ กล่าวว่า สุดท้ายการรีเซตด้านสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล รัฐบาลตั้งเป้าหมาย เซตซีโร การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 อีก 25 ปีอย่าคิดว่ายาวมันไม่นาน รัฐบาลจะผลักดันพลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม และการเกษตรให้ได้ตามเป้า เพื่อที่สินค้าของไทยจะได้รับการยอมรับในทุกๆ ประเทศ ทำให้ไทยไม่เสียเปรียบทางการค้า

 “ไม่มีรัฐบาลใดที่จะรีเซตประเทศได้เพียงลำพัง แต่ต้องใช้พลังจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน แรงงาน และประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงสื่อสารมวลชน ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่ขาดระบบที่จะเปิดให้ศักยภาพนั้นได้ทำงานเต็มที่ เราจะได้เห็นประเทศที่ไม่ใช่ประเทศไทยที่ต้องการฟื้นตัว แต่จะเป็นประเทศไทยที่พร้อมจะเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน ต้องแซงเพื่อนบ้านให้ได้ ต้องเป็นหนึ่งในภูมิภาคให้ได้ ไม่เกินความสามารถ ผมยืนยันด้วยความมั่นใจ ผมมั่นใจกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคภูมิใจไทยของผมอีก และผมหวังเล็กๆ ว่าจะได้กลับมาร่วมงานนี้ได้อีกครั้งในปีหน้า" นายกฯ กล่าว

บ้านใหญ่อุบลฯ โผล่พูลแมน

จากนั้นนายอนุทินให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการผลักดันเศรษฐกิจที่จะให้ไทยเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองบ่อยจะมีผลหรือไม่ว่า ไม่ใช่ การเมืองเป็นการคอร์รัปชัน เราต้องสร้างระบบสังคมดิจิทัล จะบังคับให้การกระทำเรื่องทุจริตจะถูกตรวจสอบได้ เราต้องพัฒนาสังคมดิจิทัล สังคมข่าวสาร สังคมข้อมูล AI การโปร่งใสตรวจสอบได้ ต้องสร้างระบบขึ้นมา ไม่ใช่ปากพูดก็พูดไป แต่ต้องสร้างระบบขึ้นมาทำให้คนที่อยู่ในสังคม

ถามว่าการเปลี่ยนตัวผู้นำบ่อยๆ มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ญี่ปุ่น-อังกฤษเปลี่ยนบ่อยกว่าเรา ความเชื่อมั่นอยู่ที่ระบบ อยู่ที่การสร้างหลักนิติธรรมหลักธรรมาภิบาล เชื่อมั่นว่าคนมองประเทศไทยอย่างไร ใครจะมาไม่สำคัญเท่ากับวางระบบที่ดี

ซักว่า 4 เดือนนี้เป็นการวางรากฐานเพื่อที่จะกลับมา และทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นอีกหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า 4 เดือนนี้เอาให้รอดก่อน 4 เดือน ที่เราได้ทำทุกอย่างที่ตั้งใจ อยากจะทำให้เกิดขึ้น ดีใจมากคนละครึ่งพลัสเกิดแล้ว การคืนเงินให้กับ ธ.ก.ส.กว่า  30,000 ล้านบาท ที่ค้างมาเป็น 10 ปี เกิดขึ้นภายในวันแรกของการทำงานของรัฐบาล หลังจากที่แถลงนโยบาย อะไรที่เริ่มต้นดี ติดกระดุมเม็ดแรกถูกก็ควรจะถูกไปเรื่อยๆ  ยกเว้นจะมีใครไม่ประสงค์ดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่าย ขณะที่นายอนุทินเดินทางมาร่วมงานดังกล่าวที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ถ.รางน้ำ ปรากฏว่ามีผู้พบเห็นนายเกรียง กัลป์ตินันท์ แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มาปรากฏตัวบริเวณด้านหน้าล็อบบี้โรงแรมพูลแมน  ย่านซอยรางน้ำ ซึ่งอยู่ข้างโรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ โดยคาดว่าได้มาพบกับแกนนำคนสำคัญของพรรคพรรคภูมิใจไทย เพื่อหารือถึงการย้ายเข้าสังกัดในการเลือกตั้งสมัยหน้า

ทั้งนี้ จังหวัดอุบลราชธานี ขณะนี้มีทั้งหมด 11 เขตเลือกตั้ง โดยคาดว่าการปรากฏตัวของนายเกรียงครั้งนี้ น่าจะขนลูกทีม อบจ.และ สส.ในสังกัดมาร่วมงานกับค่ายน้ำเงินในอนาคตอันใกล้นี้

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายอนุทิน ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถึงการปรากฏตัวของนายเกรียง เป็นสัญญาณจะมาร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรค ภท.ใช่หรือไม่ โดยนายอนุทินย้อนถามสื่อว่า “รู้ได้อย่างไร”

เมื่อผู้สื่อข่าวตอบว่า นายเกรียงมาพบกับนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นายอนุทินกล่าวว่า เขาเป็นเพื่อนกัน ส่วนจะมาร่วมงานกับพรรค ภท.หรือไม่  ตนไม่ได้พบกับนายเนวินมา 2 วันแล้ว ตอนนี้เริ่มคิดถึง เดี๋ยวจะโทร.หา

ซักว่า ขณะนี้นายกฯ เดินหน้าบริหารประเทศ  ส่วนหลังบ้านก็เดินเกมการเมืองเต็มที่ใช่หรือไม่  นายอนุทินกล่าวว่า “หน้าบ้าน หลังบ้านคนเดียวกันหมด มีแค่นี้”

เมื่อถามต่อว่า ในวันที่ 11 ต.ค. นายกฯ จะเดินทางไปจังหวัดสงขลาเพื่อร่วมรับประทานอาหารกับนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย และ สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพื่อทาบทามเข้าพรรค ภท.ใช่หรือไม่  นายอนุทินกล่าวว่า ตนไปตรวจราชการที่จังหวัดสงขลา และประชุม 7 จังหวัดภาคใต้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง ซึ่งมีเรื่องที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเครื่องบินจะไปลงที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็แวะกินข้าวด้วยกัน เป็นเรื่องปกติ

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า นายนิพนธ์ยังจะอยู่พรรค ภท.ใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “เมื่อเช้ายังมั่นใจอยู่” เมื่อถามว่านายนิพนธ์จะไม่กลับไปพรรคสีฟ้าใช่หรือไม่ นายอนุทินพูดทีเล่นทีจริงว่า “สีฟ้าเข้ม” ขณะที่สื่อมวลชนแย้งว่า หมายถึงพรรคสีน้ำเงินใช่หรือไม่ นายอนุทินไม่ได้ตอบแต่พยักหน้ารับ

เท้งเมินพลังดูด ภท.คุยข่ม พท.

ด้านนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.)  กล่าวถึงกรณีนักการเมืองทยอยย้ายเข้าพรรค ภท.ว่า เป็นเรื่องปกติ เมื่อเข้าใกล้ฤดูกาลเลือกตั้งจะมีการสลับขั้วย้ายค่ายกันบ้าง แต่รากฐานจริงของเรื่องนี้อยู่ที่ระบบการเมือง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นกลไกที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าจะทําให้เกิดการย้ายพรรคได้ง่าย แบบ สส.งูเห่าที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา ฉะนั้นถ้าเราอยากได้การเมืองที่ตรงไปตรงมา ก็ต้องกลับมาแก้ไขที่ระบบการเมือง เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทําให้พรรค ปชน.ให้ความสําคัญกับการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ถามว่า การไหลเข้าพรรคภูมิใจไทยแบบนี้ จะทำให้พรรค ภท.กลายเป็นเสียงข้างมากและสุ่มเสี่ยงที่จะขัดต่อ MOA หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นว่าจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากแต่อย่างใด และคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์ไหลไปถึงจุดนั้น ถ้าถึงจุดที่เราเล็งเห็นแล้วว่ามีความเสี่ยง หรือความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก เราก็คงจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อล้มรัฐบาลทันที

นายณัฐพงษ์กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประตูด่านแรกที่จะเป็นจุดชี้วัดที่สําคัญ อีกหนึ่งด่านก็จะเป็นเรื่องการแก้ไขหมวด 15/1 ซึ่งจะถูกเสนอกลับเข้าสู่สภาในวาระที่ 3 ซึ่งนอกจากดูเสียง สส. แล้วต้องดูการสนับสนุนจาก สว.ด้วยว่าตกลงแล้วทุกพรรคการเมือง รวมถึงนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานหนักขนาดไหนในการทำความเข้าใจกับ สว.

"สิ่งที่พรรค ปชน.และพรรค ภท.รวมถึงทุกพรรคการเมืองด้วย จะต้องหาจุดตรงกลางร่วมกันให้ได้ จุดยืนของพรรค ปชน.ยืนยันว่าที่มาของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ ต้องมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด หากหาทางออกร่วมกันไม่ได้ ก็เป็นสิ่งที่พรรค ภท.ไม่สามารถรักษาสัญญาตาม MOA ได้" นายณัฐพงษ์กล่าว

ถามว่า พรรค พท.สามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้หรือไม่ หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวว่า สามารถทําได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทําให้ระบบการเมืองไทยสู่กลับมาสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ มีกลไกถ่วงดุลตรวจสอบที่ดี เป็นไปตามหลักสากล จึงไม่อยากให้ใช้เกมการเมืองในการตัดสินใจยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อล้างแค้นอะไรกันหรือไม่ อยากให้พรรค พท.และทุกพรรคการเมืองเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

เมื่อถามถึงกรณีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองหัวหน้าพรรค พท. ประกาศพรรค พท.จะได้ สส. 200 ที่นั่ง และพรรค ปชน.จะได้ลดลง นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ทุกพรรคประเมินว่าตัวเองได้เยอะอยู่แล้ว ตั้งเป้าหมายให้สูง แต่เราเชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งข้างหน้า เป้าหมายของเราได้ 20 ล้านเสียง อาจจะคํานวณเป็นที่นั่งไม่ได้ แต่หากสะท้อนอย่างตรงไปตรงมา ก็จะประมาณ 250 ที่นั่ง

"การเฟ้นหาผู้สมัครในการลงสมัครครั้งหน้าจะเป็นกระบวนการที่เข้มข้นมาก เปิดให้สมาชิกประชาชนมีส่วนร่วม ช่วยกันสะท้อนเสียงออกมาให้ได้มากที่สุด" หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าว

นายณัฐพงษ์ยังกล่าวถึงการลงพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางพร้อมกับ สส.ของพรรค เพื่อพูดคุยกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยว่า เสียงจากสาธารณสุขที่อยู่หน้างาน เรียกร้องมายังตน เพื่อส่งต่อไปยังรัฐบาลว่า ต้องการทํางานเชิงรุก ทั้งรถฉุกเฉิน และการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์และอําเภอ ซึ่งรัฐบาลอาจจะให้การสนับสนุนได้ในส่วนนี้ได้

นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ในเรื่องเงินเยียวยาก็ต้องบริหารจัดการให้ไม่ช้า ไม่จม ไม่ซ้ำรอย เนื่องจากในบางพื้นที่ล่าช้ากว่า 2 เดือน กว่าจะได้รับเงินเยียวยา 9,000 บาทหลังสถานการณ์ก็ผ่านไปแล้ว บางพื้นที่ก็ท่วมนานกว่าปกติ ตกลงแล้วมีเกณฑ์อย่างไร และควรเป็นหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลนําไปพิจารณา

"สิ่งที่ประชาชนส่งเสียงมาโดยตรงว่าการเยียวยายังช้าไปอยู่ จะทําอย่างไรให้เร็วขึ้น อย่างกรณีแนวชายแดน ซึ่งได้รับการเยียวยา ก็มีข่าวดี แต่อยากให้รัฐบาลเร่งจัดการหลักเกณฑ์ในพื้นที่น้ำท่วมให้สอดคล้องกับปัญหาที่ประชาชนได้เจอ" หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.