คลังจัดระเบียบ ‘ลดหย่อนภาษี’ หวังเพิ่มรายได้

"เอกนิติ" สั่งลุยจัดระเบียบ "ลดหย่อนภาษี" ใหม่ เล็งกำหนดเพดานต่อปี หวังช่วยเพิ่มรายได้รัฐบาล เรียกความเชื่อมั่นภาคการคลังคืน  คาดเห็นความชัดเจนไม่เกิน พ.ย.นี้ พร้อมปักธงทุ่ม 1 หมื่นล้านบาท ปั้นแรงงานไทย 1 แสนคน  อัดเงินหนุนอุ้มผู้ประกอบการวิจัยและพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพ หวังฟื้นเศรษฐกิจจากหล่ม

 เมื่อวันพฤหัสบดี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการเพิ่มเสถียรภาพทางการคลัง ผ่านการจัดทำ Medium-Term Fiscal Framework (MTFF) ฉบับใหม่ ซึ่งจะคำนึงถึงวินัยทางการคลัง ความโปร่งใส และการมีกฎ กติกาที่ชัดเจน เพื่อช่วยเรียกความเชื่อมั่นและมั่นใจ หลังจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้มีการปรับลด Outlook ของไทยลง ยืนยันว่าการดำเนินนโยบายทุกอย่างของรัฐบาลจะมีความชัดเจนและโปร่งใส ว่าใช้เงินจากแหล่งไหน งบประมาณส่วนใดบ้าง โดยไม่มีการกู้เงินเพิ่ม รวมถึงมีการศึกษาแนวทางการปรับเกณฑ์เรื่องการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ เพื่อให้เป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่มีการหักลดหย่อนค่อนข้างสะเปะสะปะมากเกินไป

 “เรื่องการปรับเกณฑ์ค่าลดหย่อนไม่ต้องแก้ประมวลรัษฎากร สามารถทำได้เลย ทุกวันนี้ค่อนข้างสะเปะสะปะมาก ไม่มีกรอบชัดเจน ดังนั้นอาจจะต้องมากำหนดเพดานเพื่อทำให้ชัดเจนว่าในแต่ละปีมีเพดานการลดหย่อนภาษีเท่าไหร่ ซึ่งแนวทางเรื่อง Individual Savings Account ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก็น่าสนใจ โดยเป็นการรวมผลิตภัณฑ์ที่จะใช้หักลดหย่อนภาษีไว้ในถังเดียว แล้วให้คนเลือกว่าจะลงทุนอะไรบ้าง เป็นการให้อิสระในการเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุน โดยการลดหย่อนจะอยู่ภายใต้เพดานที่กำหนด ส่วนรายละเอียดตอนนี้ทีมกำลังเร่งพิจารณาอยู่ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้จะช่วยทำให้รัฐบาลมีรายได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมีความเชื่อมั่นมากขึ้นด้วย” นายเอกนิติกล่าว

นายเอกนิติกล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ซึ่งขณะนี้ได้เร่งหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงสมาคมธนาคารไทย โดยจะดำเนินการผ่านกลไกการจัดตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) ในการดึงหนี้เสียในระบบของประชาชนออกมา เพื่อให้หายใจคล่องขึ้น โดยจะมีการใช้เงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) 1  หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมีอยู่ 2.6 หมื่นล้านบาท มาดำเนินการซื้อหนี้เสีย โดยผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จำกัด (SAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เพื่อให้การดำเนินการเร็วขึ้น และทันในช่วง 4 เดือนนี้ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของ AMC ในส่วนนี้ภายในเดือน ต.ค.2568 เรื่องนี้ต้องทำให้เร็ว เพราะรัฐบาลมีเวลาจำกัด

ขณะเดียวกัน จะมีการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อต่อลมหายใจ และเดินหน้าโครงการพี่ช่วยน้อง โดยการดึงบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่เข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อย ผลักดันให้เข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนของธุรกิจใหญ่

นายเอกนิติกล่าวอีกว่า จะมีการประสานกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)  ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการทำวิจัยและพัฒนามากขึ้น เพื่อยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยจะมีการให้เงินสนับสนุนจาก BOI สำหรับผู้ประกอบการ 50% สำหรับการทำวิจัยและพัฒนา เช่น ผู้ประกอบการรายเล็ก ได้รับเงินสนับสนุนไม่เกิน 20 ล้านบาท และรายกลาง ไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งได้มีการประสานไปกับสถาบันการเงินในการให้การสนับสนุนเม็ดเงินในส่วนนี้ก่อน หลังจากผู้ประกอบการทำการวิจัยและพัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว BOI จะอนุมัติเงินสนับสนุนให้ผู้ประกอบการค่อยนำเงินส่วนนี้ไปคืนให้กับสถาบันการเงินในภายหลัง ตรงนี้จะเป็นการต่อยอดเรื่องการวิจัย พัฒนา และเทคโนโลยีให้ตอบโจทย์กับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เชื่อว่าจะต่อยอดไปสู่การลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวด้วย

นอกจากนี้ รัฐบาลยังวางแนวทางในการยกระดับทักษะแรงงาน โดยการอัปสกิล รีสกิล เพื่อให้แรงงานไทยมีทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดในโลกยุคใหม่ โดยใช้เม็ดเงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ผ่านการจัดอบรม โดยรัฐออกค่าเรียนต่างๆ ให้ ในการพัฒนาทักษะระยะสั้นช่วง 4 เดือน ตั้งเป้า 1 แสนคน ตรงนี้จะเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องแรงงานไทยไม่มีคุณภาพ และไม่เป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงพยายามจะจับมือกับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อรับแรงงานที่มีการยกระดับทักษะเหล่านี้เข้าไปทำงาน

"ยอมรับว่ารัฐบาลมีเวลาจำกัดแค่ 4 เดือน จึงมีแนวคิดในการกระตุ้นเศรษฐกิจสั้น เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นจากหล่ม แต่ต้องได้ผลในระยะยาวและกระจายตัว ผ่านนโยบาย Quick-Big-Win  ทั้งหมดจึงต้องทำทันที กับดักต่างๆ ที่เป็นปัญหากับประเทศไทยตอนนี้ มีการพูดถึงกันมานาน เราเคยพูดกันว่าไทยเป็นเสือ แต่ตอนนี้เหมือนคนป่วย และหากปล่อยไปไม่ทำอะไรก็อาจจะตายได้  ดังนั้นเราต้องรู้ให้ได้ว่าเราป่วยเป็นอะไร และต้องลุกขึ้นมาทำจริงๆ จังๆ ก็มีโอกาสที่จะกลับมาแข็งแรงได้โดยไม่ต้องเข้า ICU วันนี้เราต้องเริ่มต้น"  นายเอกนิติกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง