วิทัยตั้งเป้าแก้หนี้2ล้านราย

นายกฯ​ สั่งกระทรวงเศรษฐกิจเร่งนโยบายควิกวินให้เป็นรูปธรรมใน 4 เดือน “ขุนคลัง” ย้ำไม่มีส่งข้อมูลให้สรรพากรถอนขนเป็ดร้านค้าร่วมคนละครึ่งพลัสแน่ “ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ” ยันไทยยังไม่เข้ายุคเงินฝืด เล็งสรุปมาตรการแก้หนี้เสีย ตั้งเป้าประเดิมกว่า 2 ล้านรายก่อน

 เมื่อวันศุกร์ที่ 10 ต.ค. มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันอังคารที่ 14  ต.ค. รวมไปถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ​นัดแรก ในวันที่​ 15 ต.ค. จะย้ายการประชุมไปที่อาคารรัฐสภา  เนื่องจากวันดังกล่าวจะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 256 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 ระหว่างวันที่ 14-15 ต.ค. ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลคงห่วงเรื่องขององค์ประชุม จึงทำให้ต้องจัดการประชุม ครม.ปกติและ ครม.เศรษฐกิจที่รัฐสภา

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สัญญาณความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในหลายจุด จากทัศนคติเชิงบวกของประชาชนต่อการปรับเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัส และภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัว ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศและสนับสนุนธุรกิจภาคการค้าและบริการ เชื่อจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม

 “นายกฯ กำชับทุกกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ ที่ต้องเร่งเดินหน้ามาตรการ Quick Big Win ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 4 เดือนข้างหน้า กระตุ้นโมเมนตัม จุดติดเครื่องยนต์เศรษฐกิจ พลิกฟื้นบรรยากาศการค้า และการลงทุน ทำให้ประชาชนพร้อมจะกลับมาจับจ่ายใช้สอยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แม้เป็นมาตรการระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะส่งต่อเนื่องในระยะยาวอีกด้วย” นายสิริพงศ์กล่าว

ขณะที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.การคลัง กล่าวถึงกระแสวิจารณ์ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสอาจถูกเก็บภาษีย้อนหลังว่า ขอยืนยันว่า ข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ในโครงการคนละครึ่งพลัส จะถือเป็นข้อมูลลับ ไม่มีการเปิดเผยให้บุคคลภายนอก และที่สำคัญคือจะไม่มีการส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ให้กับกรมสรรพากร ไม่ว่าจะเพื่อการตรวจสอบภาษีย้อนหลังหรือในวัตถุประสงค์อื่นใด

“ภาครัฐเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความกังวลของพ่อค้าแม่ค้าและผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มหลักของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ โดยรัฐบาลไม่ต้องการสร้างภาระเพิ่มเติมหรือสร้างความหวาดกลัวในการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภาษีอย่างเป็นทางการ หากแต่ต้องการสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคงในช่วงเวลาที่ท้าทาย” นายเอกนิติกล่าว และว่า ถ้ามีข่าวลือหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ขอให้ตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น

วันเดียวกัน นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2568 ที่ระดับ 1.50% ต่อปี ไม่ได้มีประเด็นว่านโยบายการเงินจะไม่ช่วยดูแลเศรษฐกิจหรืออัตราเงินเฟ้อ แต่การดำเนินนโยบายต้องดูจังหวะและเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ปรับลดดอกเบี้ยลงแล้ว 1% ต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา  ซึ่งผลของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้งอยู่ที่ 6-12 เดือน โดยผลของการลดดอกเบี้ยในช่วงก่อนหน้าก็ยังออกไม่เต็มที่ และขณะนี้ยังมีพื้นที่ของนโยบายการเงินเหลือเพียงพอที่จะพิจารณาใช้ในเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยการตัดสินใจในระยะต่อไปต้องดูข้อมูลภาวะและข้อมูลเศรษฐกิจในเวลานั้นประกอบ แต่ย้ำว่านโยบายการเงินไม่ได้มีข้อจำกัดหรือไม่พร้อมสนับสนุนและดูแลเศรษฐกิจ 

นายวิทัยย้ำว่า ธปท.พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจและผลักดันเงินเฟ้อ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2569 ว่าควรจะอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวมองว่า 1-3% เป็นตัวเลขที่เหมาะสม ส่วนเรื่องเงินฝืดนั้น ใน กนง.ก็มีการพูดชัดเจนว่าต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด แต่ยืนยันว่าวันนี้ยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด เพราะความหมายในเชิงเศรษฐศาสตร์ การเกิดภาวะเงินฝืดนั้น ระดับราคาสินค้าและบริการจะต้องลดลงในวงกว้างจากดีมานด์ที่อ่อนแอชัดเจน แต่วันนี้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.9% ยังมีดีมานด์รองรับอยู่ ส่วนระดับราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลงมานั้น ธปท.ก็ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด

สำหรับแนวคิดการดึงเงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศมาจัดตั้งกองทุนมั่งคั่งนั้น นายวิทัยกล่าวว่า ธปท.ยังไม่มีแนวคิดทำเรื่องนี้ แต่ในอนาคตหากมีข้อเสนอเข้ามา ค่อยมาพิจารณากันอีกที เนื่องจากปัจจุบัน ธปท.ได้นำเงินกองทุนสำรองฯ ไปกระจายผ่านการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลตอบแทนดีอยู่แล้ว ส่วนความคืบหน้าในการแก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชนนั้น แนวทางที่เป็นไปได้ในขณะนี้คือ การจัดตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ (AMC) ผ่านกลไกการซื้อหนี้ออกมาจากระบบธนาคาร โดยใช้เงินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ดำเนินการผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลัง สมาคมธนาคารไทย และสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปไม่เกินปลายเดือน ต.ค.นี้ หลังจากนั้นต้องเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณา และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2569

 “AMC เป็นแนวคิดที่ทำมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเบื้องต้นจะดำเนินการกับกลุ่มหนี้เสียไม่เกิน 1 แสนบาท กว่า 2 ล้านคน จากทั้งหมด 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้เสียที่อยู่ในธนาคารพาณิชย์กว่า 7 แสนคน สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐกว่า 7 แสนคน และนอนแบงก์ที่เป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงินอีกกว่า 8 แสนคน ส่วนลูกหนี้ที่อยู่กับนอนแบงก์อาจต้องดำเนินการในระยะถัดไป เนื่องจากมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน โดยหลักการคือ ต้องดูว่าก้อนไหนทำง่ายที่สุด อยากทำให้จบเร็ว ปริมาณเยอะ แต่ถ้าทำได้หมดก็อยากทำ ส่วนถ้าทำหมดแล้วกระบวนการช้ามากก็อาจปรับเป็นเฟส โดยตอนนี้อยู่ระหว่างหารือเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนอีกครั้ง” นายวิทัยระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%