สระแก้วซ้อมอพยพ เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน!ตชด.ส่งกำลังพลเพิ่ม

จ.สระแก้วออกประกาศแจ้งประชาชนตามแนวชายแดน ซ้อมแผนอพยพไปศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะที่ ตชด.เสริมทัพภูธรภาค 2 ลงพื้นที่สระแก้ว ส่ง K-9 ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด พร้อมดูแลประชาชนและปกป้องอธิปไตยของชาติ ด้านกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ทั่วไปยังปกติ
 
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2568 จังหวัดสระแก้วได้ออกประกาศซ้อมแผนอพยพประชาชนชายแดนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2568 เริ่มเวลา 10.00 น. เป็นต้นไป
 
จึงขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย และขอให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
 
ขณะที่ พล.ต.ท.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) จัดกำลังพลสนับสนุนการปฏิบัติให้แก่ตำรวจภูธรภาค 2 โดยกำลังพลได้เดินทางเข้าพื้นที่ จ.สระแก้วเรียบร้อยแล้ว และพร้อมปฏิบัติหน้าที่ดูแลและควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่บ้านหนองจาน ได้ย้ำกับกำลังพลทุกนายให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เสียสละ กล้าหาญและอดทน ปฏิบัติการทางยุทธวิธีตามหลักสากล อดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุ และบังคับใช้กฎหมาย เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและรักษาอธิปไตยของชาติ
 
พล.ต.ท.รุ่งโรจน์เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ตชด.ได้ตรึงกำลังหน้าแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ 7 จังหวัด 100% ตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านจนถึงปัจจุบัน สำหรับพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว ตชด.ได้ร่วมปฏิบัติการกับเหล่าทัพและประสานการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนชุด EOD และ K-9 ปฏิบัติเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว ซึ่งผลการปฏิบัติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย กำลังพลทุกนายปลอดภัยดี ทั้งนี้ ขอยืนยันและขอให้เชื่อมั่นว่า ตชด.จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และยืนหยัดเคียงข้างประชาชน และปกป้องอธิปไตยของชาติไม่ให้ใครมารุกราน

ขณะที่กองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 11 ต.ค.68 ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว ณ เวลา 15.00 น. โดยพื้นที่บ้านหนองจาน ฝ่ายไทยมีมวลชนเข้าพื้นที่ พ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งนักข่าว ประมาณ 200 คน โดยในห้วงเวลา 10.00 น. นายวีระ สมความคิด ร่วมแสดงกิจกรรมแสดงออกถึงความรักชาติหวงแหนอธิปไตยไทยร่วมกับประชาชน ได้ชี้แจงถึงจุดยืนที่จะเข้าไปผลักดันชาวกัมพูชาให้ออกในพื้นที่ โดยจะให้เวลาเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการถึงวันที่ 31 ตุลาคมนี้ และมูลนิธิกันจอมพลัง ช่วยสู้ ได้นำคอนเทนเนอร์ให้เจ้าหน้าที่เพิ่มเติม เพื่อให้ กกล.บูรพานำไปใช้ประโยชน์ทางยุทธการ

พื้นที่ฝั่งตรงข้าม ฝ่ายกัมพูชา พบความเคลื่อนไหวประชาชน, สื่อมวลชน, ทหาร และตำรวจ ฝ่าย กพช. คอยติดตามความเคลื่อนไหว/การปฏิบัติของฝ่ายไทย ประมาณ 30-40 คน สถานการณ์ทั่วไปเป็นปกติ

การปฏิบัติการที่สำคัญ กกล.บรูพา โดย ฉก.อรัญประเทศ ฉก.ตาพระยา, ตำรวจตระเวนชายแดน, ทหารพราน และชุดควบคุมฝูง ยังคงตรึงกำลังเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก

พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ฝ่ายไทย มีมวลชนจำนวนหนึ่งในพื้นที่ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่สำคัญ ในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม ฝ่ายกัมพูชา พบความเคลื่อนไหวประชาชนและมวลชน/ผู้สื่อข่าว จำนวนประมาณ 150-200 คน บริเวณรั้วลวดหนาม และกระจายรอบหมู่บ้านเปรยจัน โดยมีทหาร, ตำรวจ และส่วนราชการ คอยอำนวยความสะดวกและเชิญชวนนักข่าวในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมปลุกระดมบิดเบือน  ตลอดจนเรียกร้องให้ปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นายกลับประเทศ

สถานการณ์ทั่วไปเป็นปกติ ปฏิบัติการที่สำคัญ หน่วยได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์ โดยจัดควบคุมและรักษาความปลอดภัยพื้นที่ เเละจัดชุดตรวจค้นวัตถุระเบิด 7 ชุด พร้อมอุปกรณ์ตรวจค้นเเละรถถากถางหุ้มเกราะ D5 ดำเนินการตรวจสอบค้นหาวัตถุระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่ปฏิบัติการฝ่ายไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้วเพิ่มเติมให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด คาดว่าจะใช้เวลา 3-4 วัน เพื่อดำเนินการให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยทั้งหมด

นอกจากนี้ กกล.บูรพา โดย ฉก.อรัญประเทศ ฉก.ตาพระยา, ตำรวจตระเวนชายแดน, ทหารพราน และชุดควบคุมฝูงชน ยังคงตรึงกำลังเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก

ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 1 ขอยืนยันจะดำเนินการเด็ดขาดกับพื้นที่ที่มีการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ในห้วงเวลาที่ได้เปรียบ โดยคำนึงถึงผลสำเร็จทางยุทธวิธีและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ ยืนหยัดทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วยความชอบธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้ พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1/ผบ.ศปก.ทภ.1 มีความห่วงใยกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ชายแดนในพื้นที่ จ.สระแก้ว ได้สั่งการให้หน่วยดำเนินการสำรวจและช่วยเหลือครอบครัวกำลังพลที่ได้รับผลกระทบ อาทิ มีบุพการีที่เจ็บป่วยไม่มีผู้ดูแล, ครอบครัวอยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยหรือภัยพิบัติอื่นๆ เป็นต้น เพื่อลดความกังวลใจของกำลังพลในทุกมิติ ให้มีพร้อมปฏิบัติภารกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ

พล.ท.อดุลย์​ บุญธรรมเจริญ​ รมช.กลาโหม ​ เปิดเผยถึงการลงพื้นที่จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่มีอะไร​น่าห่วงน่ากังวล ​ เป็นเพียงการเดินทางไปเตรียมความพร้อม​ ดูแผน​ และความพร้อมของเครื่องมือของหน่วยปฏิบัติ ซึ่งเป็นเพียงการทำความเข้าใจกัน​ ไม่มีอะไร

เมื่อถามว่า วันนี้ที่มีการลงพื้นที่อีสานใต้  จังหวัดศรีสะเกษ พล.ท.อดุลย์​กล่าวว่า เป็นพื้นที่ชายแดนฝั่งที่ติดกับกัมพูชา ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อุทยานแห่งชาติ โดยจะเข้าไปดูการเข้าถึงพื้นที่ของทหารในการนำกำลังเข้าพื้นที่หรือการส่งกําลังบํารุงในการดูแลพื้นที่ชายแดน ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมจะทําถนนเข้าไป  และกระทรวงพลังงานจะนําโซลาร์เซลล์ไปติดตั้ง เพื่อช่วยทหารบริเวณชายแดนให้เกิดความรวดเร็วในการนํากําลัง การขนส่ง และการแพทย์ในพื้นที่

"เป็นไปตามตามแนวคิดที่ว่า น้ำไหล ไฟสว่าง  ทางดี และมีสัญญาณโทรศัพท์ กําลังพลที่อยู่ตามชายแดนก็จะมีความสุขระดับหนึ่ง เพราะสามารถติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนร่วมงานได้  เนื่องจากขณะที่ปกป้องอธิปไตย ก็ต้องมีสิ่งอํานวยความสะดวกตามควรแก่อัตภาพ ส่วนเรื่องอาหารการกินสมบูรณ์ไม่มีปัญหา ขณะที่ทางฝั่งกัมพูชาเป็นพื้นที่ของเอกชน จึงสามารถเข้าถึงพื้นที่ชายแดนได้มากกว่า" รมช.กลาโหมกล่าว

ส่วนกองทัพบก ชี้แจงกรณีคำแถลงของกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีเนื้อหากล่าวประณามการบริหารจัดการพื้นที่ของจังหวัดสระแก้วและกองทัพไทย โดยอ้างว่าฝ่ายไทยได้บุกรุกเข้าไปในพื้นที่บ้านเปรยจัน ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองหญ้าแก้ว ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้างนั้นคือพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในเขตกัมพูชา ดังนั้นการกล่าวหาว่าฝ่ายไทยบุกรุกพื้นที่ จึงถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง

โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า การเข้าปฏิบัติในพื้นที่ดังกล่าวของฝ่ายไทยเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน แม้จะเป็นการดำเนินงานภายในเขตอธิปไตยไทย แต่ฝ่ายไทยได้แจ้งประสานอย่างเป็นทางการไปยังฝ่ายกัมพูชาล่วงหน้า ตามกลไกความร่วมมือทวิภาคีในพื้นที่ชายแดน เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568

 พล.ต.วินธัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะที่ฝ่ายไทยมุ่งขับเคลื่อนความร่วมมือทุกข้อภายใต้กรอบ GBC เพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงจากทุ่นระเบิดและการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำของชุมชนกัมพูชาในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว แต่กลับไม่ได้เห็นความคืบหน้าใดๆ อย่างเป็นรูปธรรมจากฝ่ายกัมพูชาเท่าที่ควร อีกทั้งยังปรากฏพฤติกรรมที่แสดงถึงความพยายามขัดขวางการดำเนินการของฝ่ายไทย  โดยมีฝ่ายทางการกัมพูชาเป็นผู้สนับสนุนมาโดยตลอด

ยืนยันว่าพื้นที่ใดที่อยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทย ฝ่ายไทยย่อมมีสิทธิ์โดยชอบในการบังคับใช้กฎหมายและปกป้องรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนของตน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.