‘อภิสิทธิ์’รีเทิร์น! นั่งหัวหน้าปชป.ไร้คู่แข่งจัดทัพใหม่ผลักดันการเมืองสุจริต

ประชุมใหญ่วิสามัญประชาธิปัตย์  คนเก่าคนแก่หวนกลับพรึ่บ! ไม่พลิกโผ! “มาร์ค”  นั่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งแบบไร้คู่แข่ง ได้คะแนนท่วมท้น เกือบเต็ม 100% รองหัวหน้าพรรคใหม่ 8  คน รุ่นใหม่เพียบ เปิดใจกลับมาเที่ยวนี้ไม่มีกำไร  มีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่ต้องถาม ปชป.เป็นพรรคแบบไหน แต่คือต้นตำรับของพรรคเสรีประชาธิปไตยในไทย ยกสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ไม่เอากองทัพเข้ามาเป็นประเด็นทางการเมือง ยกประโยคเด็ดเพลง  "เทย์เลอร์ สวิฟต์" แก้วที่แตกจะมีความคมมากขึ้น ใครที่กำลังจะมาทุบประชาธิปัตย์ เหมือนกำลังทุบแก้วที่แตก

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 18 ตุลาคม 2568 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคประชาธิปัตย์​ เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ว่าเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีสมาชิกพรรค อดีต สส.ที่ลาออกไปแล้วย้ายกลับมา ทยอยเดินทางเข้าร่วมประชุมที่จะเริ่มขึ้นในเวลา 09.30 น. โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แคนดิเดตหัวหน้าพรรค เดินทางมาถึงในเวลา 08.35 น. พร้อมกับว่าที่คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ (กก.บห.) อาทิ นางการดี เลียวไพโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนาคตศาสตร์และสินทรัพย์ดิจิทัล, ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง ว่าที่โฆษกพรรค และนายวีระพงษ์ ประภา อดีตผู้แทนการค้าไทย ที่มาเสริมพรรคใหม่

ทันทีที่นายอภิสิทธิ์มาถึงห้องประชุม ได้เดินทักทายสมาชิกพรรคที่เป็นคนรุ่นเก่า รุ่นใหม่​ และยังมีองค์การนักศึกษารามคำแหงมอบดอกกุหลาบให้กำลังใจ​ รวมทั้งยังมีสมาชิกพรรคบางส่วนเข้ามาสวมกอด​ และยืนยันกับนายอภิสิทธิ์​ว่าจะให้การสนับสนุนเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า​ รู้สึกอย่างไรที่ได้กลับมาพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ใจไม่เคยไปไหน​

จากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้เดินทักทายสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์​ รวมไปถึงแกนนำ​ที่เคยร่วมอุดมการณ์กันมา​ อาทิ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย,​ นายสกลธี ภัททิยกุล, นายกรณ์ จาติกวณิช, นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เป็นต้น​ ซึ่งภายในห้องประชุมก็ยังมีสมาชิกหลายคนชูป้ายขอสนับสนุนนายอภิสิทธิ์​ เวชชาชีวะ​ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่​

ด้านนายชวน​ หลีกภัย​ สส.บัญชี​รายชื่อ ​ พร้อมด้วยนาย​สุรบถ​ หลีกภัย​ บุตรชาย​ อดีต สส.บัญชี​รายชื่อ​ ได้เดินทางมาถึงและเยี่ยมชมนิทรรศการภาพวาด​ "ชาวประชาธิปัตย์" จากลายเส้น.. ชวน​ หลีกภัย​ โดยนายสุรบถได้กล่าวชมภาพวาดของนายชวนว่า​ ลายเส้นสวย​

 ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเฉลิมชัย​ ศรีอ่อน​ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ลาการประชุม ส่วนนายเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการเลขาธิการพรรค ได้เดินทางมาร่วมประชุม และเป็นที่น่าสังเกตว่ามีอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในยุคของนายอภิสิทธิ์ได้กลับมาสมัครสมาชิกพรรคอีกครั้ง ซึ่งบรรยากาศโดยรวมในการประชุมครั้งนี้มีความคึกคักมากเป็นพิเศษ

อยากให้ 'อภิสิทธิ์' กลับมา

นายชวนให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ถึงความคาดหวังในการประชุมวันนี้ว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อยากให้นายอภิสิทธิ์ได้กลับมา   ส่วนคณะกรรมการบริหารก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา สำหรับภารกิจที่จะให้พวกเราช่วยสนับสนุนนั้น ก็คิดว่าคงจะไม่น่ามีปัญหาอะไร

ส่วนการฟื้นศรัทธาประชาชนได้หรือไม่นั้น  อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตอบว่า คงไม่ใช่เปิดปุ๊บติดปั๊บ ในเรื่องของความเชื่อมั่น แต่เท่าที่ติดตาม ส่วนใหญ่ชาวบ้านก็ดีใจ ยกเว้นสื่อที่วิจารณ์ สมมติว่าหากมีความเปลี่ยนแปลง นายอภิสิทธิ์กลับมา ส่วนใหญ่ก็จะให้กำลังใจ และหวังว่าจะได้กลับมาสนับสนุนพรรค แต่ขอเรียนว่าต้องช่วยสนับสนุนนายอภิสิทธิ์

"ที่ผมย้ำคำว่าไม่ใช่เปิดปุ๊บติดปั๊บ เพราะไม่ใช่พอเปลี่ยนหัวหน้าปุ๊บทุกอย่างจะดีขึ้นหมด มันไม่ใช่อย่างงั้น ต้องใช้เวลาทำงาน แต่คุณอภิสิทธิ์ก็เป็นคนที่มีบทบาท มีพื้นฐานเป็นนักการเมือง ไม่ใช่นักธุรกิจการเมือง ไม่ได้เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์ ไม่มีธุรกิจแอบแฝง"

นายชวนกล่าวต่อว่า ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ประชาชนโดยทั่วไปที่ติดตามบทบาทพรรคการเมือง ก็จะเห็นว่าพรรคที่อยู่มาเกือบจะ 80 ปีแล้ว ที่ดำรงอยู่ได้ไม่ใช่เพราะมีเงินซื้อ มีอำนาจ แต่อยู่ได้โดยการยึดความชอบธรรม ถูกต้อง นี่คือสิ่งสำคัญ

ส่วนนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ที่กลับมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาสู่พรรคเริ่มต้นชีวิตทางการเมือง ตนก็เป็นหนึ่งคนที่เชื่อในศักยภาพของประเทศมาตลอดว่าชีวิตคนไทยต้องดีขึ้นได้ แต่ก็ตระหนักว่าจะเป็นไปได้ทั้งหมดนี้การเมืองต้องดีขึ้น เพราะปัญหาใหญ่ๆ  ต้องแก้ด้วยการเมือง เพราะฉะนั้นเมื่อมีสัญญาณชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะกลับมาเป็นการเมืองที่ดี ที่จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้ ตนจึงเป็นคนหนึ่งที่พร้อมที่จะกลับมามีส่วนร่วม

เสนอชื่อ 'มาร์ค' ไร้คู่แข่ง

“คนอย่างผมแม้แต่รุ่นน้องอย่างคุณสกลธี  ภัททิยกุล หรือคุณอภิสิทธิ์ ผมคิดว่าสิ่งที่เรามีคือเรามีประสบการณ์ แต่เราก็ตระหนักว่าคนที่เราขาดคือความรู้ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราก็เลยตั้งใจว่าการกลับมาของเราครั้งนี้ กลับมาเพื่อที่จะเป็นกำลังให้กับคนรุ่นใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขับเคลื่อนพรรคแก้ปัญหาของประเทศได้ ตามความคาดหวังของประชาชน และความตั้งใจของเรา”

นายกรณ์กล่าวต่อว่า วันนี้เราจะเห็นว่าจากโครงสร้างทีมบริหารที่จะเป็นการผสมผสานระหว่างคนที่มีประสบการณ์และคนรุ่นใหม่ แต่เพียงวันนี้ยังไม่พอ บอกได้เลยว่าจากวันนี้เป็นต้นไป เรามีความจำเป็นที่จะต้องเปิดรับ ทั้งในแง่ของผู้สมัครในอนาคต ทีมงาน ประชาชนที่มีความรู้ที่อาจจะมีข้อเสนอแนะ คำแนะนำที่ดีให้พรรค เราจะจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะเปิดรับข้อคิดเห็นจากทุกๆ คน และเดินหน้าไปด้วยกัน เพราะเราเชื่อว่าในแง่ความหลากหลาย ประสบการณ์ของคนรุ่นใหม่ บวกกับความรู้ความตั้งใจของคนรุ่นใหม่ เราสามารถที่จะทำให้การเมืองดีขึ้นไป และนำไปสู่โอกาสของประชาชนที่ดีขึ้นได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเข้าสู่วาระการเลือกหัวหน้าพรรค นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ อดีตหัวหน้าพรรคคนที่ 7 ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แบบไร้คู่แข่ง 

จากนั้นให้สมาชิกได้หย่อนบัตรลงคะแนนเสียงตามขั้นตอนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง แบ่งเป็น สส. 40 เปอร์เซ็นต์, กรรมการบริหารพรรค 40 เปอร์เซ็นต์ และอดีต สส. ตัวแทนสาขา สมาชิกพรรค 20 เปอร์เซ็นต์ ผลปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ได้รับเลือก 96.1810 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางเสียงปรบมือลั่นห้องประชุม

ต่อมานายอภิสิทธิ์ลุกขึ้นกล่าวเปิดใจภายหลังได้รับการโหวตให้เป็นหัวหน้าพรรคว่า สิ่งแรกต้องขอขอบคุณทุกคนที่มาร่วมประชุมวันนี้อย่างพร้อมเพรียง และมอบความไว้วางใจให้กับตนอีกครั้ง ตอนเดินเข้ามาสื่อมวลชนถามตนว่ารู้สึกอย่างไรที่กลับมาบ้าน ตนตอบสั้นๆ ว่าใจตนไม่เคยไปไหน ตั้งแต่ที่มีเพื่อนสมาชิกหลายคนมาคุยกับตนให้กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค สิ่งที่ตนหนักใจที่สุดคือเวลาที่จำกัด

8 รองหัวหน้าพรรค

"ผมจะเติมกำลังให้กับพรรคเราได้อย่างไร ฉะนั้นผมใช้เวลาเกือบทั้งหมดที่ผ่านมา เชิญชวนคนใหม่ๆ เพื่อเข้ามาอยู่กับพรรค ผมต้องการให้ศิษย์ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าผสมผสานกันขับเคลื่อนพรรค ตั้งแต่ผมทำงานมา เพื่อนร่วมงานผมอายุมากกว่าผมตลอด ผมเลยขอว่าเที่ยวนี้ขอให้มีหลายๆ คนอายุน้อยกว่าผมบ้าง ผมจะได้เป็นคนที่มีผมสีขาวอยู่คนเดียว ดังนั้นผมต้องเสนอชื่ออีกหลายคนที่ไม่ได้เป็นองค์ประชุม บางคนต้องยกเว้นคุณสมบัติ จึงขอประธานที่ประชุมว่า เมื่อผมเอ่ยชื่อ จะให้ท่านนั้นมาแสดงตัวตามข้อบังคับพรรคฯ เพราะผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อต้องอยู่ในที่ประชุม"

จากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้เสนอชื่อรองหัวหน้าพรรคตามภารกิจ 8 คน ได้แก่ 1.นายกรณ์ จาติกวณิช ดูแลด้านนโยบาย 2.นางการดี เลียวไพโรจน์ ดูแลด้านเศรษฐกิจดิจิทัล 3.นายจุรี นุ่มแก้ว ดูแลด้านการสื่อสารองค์กร 4.นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี ดูแลด้านสตรี เยาวชน และความยั่งยืน 5.นายวีระพงษ์ ประภา ดูแลด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 6.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ดูแลยุทธศาสตร์การเมืองและการประสานงานกับภาคประชาชน 7.นายอิสรา สุนทรวัฒน์ ดูแลด้านการต่างประเทศ 8.นายอัมพร พินะสา ดูแลด้านการศึกษา ขณะที่เลขาธิการพรรคคือ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์

ในช่วงบ่าย ที่ประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคประชาธิปัตย์ ภายหลังจากเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่และรองหัวหน้าพรรค 8 ตำแหน่งแล้ว ได้มีการเลือกรองหัวหน้าพรรครายภาคเพื่อให้สมาชิกลงคะแนน โดยผลปรากฏว่า นายสงกรานต์ จิตสุทธิภากร ได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าภาคเหนือ,  นายธนพร สมศรี รองหัวหน้าภาคอีสาน, นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าภาคใต้, นายสกลธี ภัททิยกุล รองหัวหน้า กทม.

ขณะที่ภาคกลาง มีการเสนอชื่อแข่ง 2 คนคือ นายสาธิต ปิตุเตชะ และนายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด แต่สุดท้ายเมื่อลงคะแนน นายสาธิตได้ 35% ส่วนนายเมฆินทร์ได้ 65% ได้เป็นหัวหน้าภาคกลาง

เหรัญญิกพรรคประชาธิปัตย์คือ นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ อดีต สส.กรุงเทพฯ ส่วนนายทะเบียนพรรคประชาธิปัตย์ น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ อดีต สส.ลพบุรี ส่วน ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง อดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ และอดีตโฆษก กทม. นั่งโฆษกพรรคประชาธิปัตย์

เลือกกรรมการบริหารพรรค

จากนั้นได้มีการเลือกกรรมการบริหารพรรคในส่วนอื่นๆ อีกให้ครบ 39 คน จาก 41 คน เนื่องจากไม่มีการเสนอตัวแทนผู้บริหารท้องถิ่นจำนวน 2 คน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีผู้บริหารท้องถิ่น

ต่อมานายอภิสิทธิ์กล่าวภายหลังการประชุมว่า ขอใช้เวลานี้ขอบคุณนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรค ซึ่งแม้ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม แต่อยากบอกว่าไม่ว่าตนและนายเฉลิมชัยเราจะมองหรือคิดต่างกันในบางเรื่อง ในบางครั้งบางคราว แต่ตนไม่เคยตั้งคำถามเรื่องความทุ่มเทของท่านที่มีให้บรรดาสมาชิกพรรค และเชื่อว่า สส. อดีตผู้สมัคร บรรดาสาขาทั้งหลายเป็นพยานที่ดีที่สุดในเรื่องของความทุ่มเทของนายเฉลิมชัย ขอให้ทุกคนช่วยกันปรบมือให้นายเฉลิมชัยด้วย สัจฺจํ เว อมตา วาจา คือข้อความที่ปรากฏอยู่บนสัญลักษณ์พรรค ปชป. ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย  และกาลเวลาพิสูจน์ความจริงเสมอ เมื่อ 10 ปีที่แล้วตนจำได้ตนใส่เสื้อเชิ้ตตัวนี้ และทำในสิ่งที่ในชีวิตนี้ตนไม่เคยคิดที่จะทำ คือการลาออกจากพรรค ปชป. แต่ก่อนที่ตนจะลาออก ตนบอกว่าตนไม่มีพรรคอื่น ตนไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดตนออกมาก็เป็นสีฟ้า ตนจะเอาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์รับใช้พี่น้องและประเทศชาติต่อไปไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

“ผมอยากบอกว่า ผมกลับมาเที่ยวนี้ ส่วนตัวไม่มีทางได้กำไร อย่างมากสุดก็เสมอตัว ขาดทุนไม่มากก็น้อย น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่ผมระลึกอยู่เสมอว่าชีวิตผมมาถึงตรงนี้ได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ จะลำบากอย่างไร จะขาดทุนเท่าไหร่ ผมก็ต้องกลับมา เพื่อทำให้พรรคการเมืองนี้อยู่คู่กับประเทศไทยต่อไปให้ได้ ผมไม่ได้คิดเฉพาะเรื่องพรรค แต่ผมเป็นหนี้ประเทศนี้ แผ่นดินนี้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเติบโตมาแล้วเคยใช้ชีวิตในต่างประเทศจนรู้ว่าประเทศนี้มีอะไรดีๆ มากมาย ผมไม่เคยคิดถึงที่อื่น บางคนแซวผมด้วยซ้ำว่าหากผมไปเล่นการเมืองที่อื่นในประเทศที่พัฒนาแล้วน่าจะรุ่งกว่าในประเทศนี้ แต่ไม่ ที่นี่คือที่ที่ผมรักและเชื่อว่าพวกเรารักที่สุด หลายครั้งเราบ่นอะไรเกี่ยวกับประเทศ คนทั่วโลกยังเห็นคุณค่าของประเทศไทย และน้ำใจของคนไทย ที่ผมเชื่อมั่นมาโดยตลอด ผมจึงต้องชดใช้หนี้แผ่นดินนี้ เหมือนที่ผมต้องชดใช้หนี้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ต้นตำรับพรรคเสรีประชาธิปไตย

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า วันนี้เศรษฐกิจติดหล่ม สังคมเหลื่อมล้ำ ความยุติธรรมหดหาย หลายปีที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นคนภายนอกมองประเทศไทย หรือจะเป็นการที่พวกเราสัมผัสอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตพี่น้องประชาชน ทุกคนห่วงใยว่าประเทศเราจะเดินต่อแบบนี้ได้หรือ ท่านเชื่อหรือไม่ว่าปีสุดท้ายที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาล 2554 เป็นปีแรกที่ประเทศไทยมีรายได้ปานกลางขั้นสูง แต่เวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ 14 ปี วันนี้แม้กระทั่งในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่มีใครมั่นใจเลยว่าเราจะขยับขึ้นไปอีกขั้นได้เมื่อไหร่ เป็นไปได้อย่างไรที่วันนี้ตัวเลขเศรษฐกิจหากขยับได้ 2% ก็ดีใจและโล่งใจแล้ว มันไม่พอ ในการที่จะยกระดับความเป็นอยู่ชีวิตของพี่น้องประชาชน

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า วันนี้ตนจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ตกอยู่ในวังวน ไม่ต้องมาถามว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคอนุรักษนิยมหรือพรรคประชาธิปไตย หรือพรรคอนุรักษนิยมก้าวหน้า เพราะเราประกาศอุดมการณ์ตั้งแต่ปี 2489 ว่าเราคือต้นตำรับของพรรคเสรีประชาธิปไตยในไทย

“วันนี้ผมไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่นำเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาอยู่ในวังวนของความขัดแย้งทางการเมือง กล่าวหาว่าฝ่ายหนึ่งล้ม กล่าวหาว่าฝ่ายหนึ่งโหน ไม่ใช่เรื่องของการเมืองเลย เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์คือศูนย์รวมจิตใจของคนไทยที่ต้องอยู่เหนือการเมือง ไม่ว่าเราจะมีแนวคิดทางการเมืองต่างกันอย่างไร”

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ต้องไม่เอาองค์กรอย่างกองทัพเข้ามาเป็นประเด็นทางการเมือง กองทัพจะทำหน้าที่ได้อย่างไรหากพรรคการเมืองมีอคติต่อกองทัพ และกองทัพเวลาที่ปกป้องแผ่นดินอย่างเข้มแข็ง การเมืองจะไปโหนไม่ได้ การเมืองต้องช่วยสนับสนุนนโยบายอย่างทางการพูดแบบเชิงรุกเพื่อให้กองทัพทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสบายใจเพิ่มขึ้น ไม่ควรนำเรื่องความมั่นคงของประเทศ หรือนโยบายการต่างประเทศมาเสี่ยง ผลักภาระให้ประชาชนลงประชามติ ก่อนตั้งคำถามว่า จะบอกว่าประชาชนเข้าใจหรือไม่ตนก็ไม่แน่ใจ เราจะปล่อยให้การเมืองฉุดทุกสิ่งทุกอย่างจากการทุจริตคอร์รัปชัน เดินต่อไปไม่ได้ หากประชาธิปไตยไม่ได้เริ่มต้นจากการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม แต่เป็นการประมูลซื้อเสียง ซื้อ สส. และคอร์รัปชันกัดเซาะทุกองค์กร เป็นต้น       "ทุนมหาศาล ไม่เพียงแต่แง่ตัวเงิน แต่ความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในสังคมจะถูกทำลาย และนำมาสู่กฎกติกาที่ซับซ้อนยุ่งยาก เพื่อพยายามแก้ไข แต่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันยังไม่จบไม่สิ้น"

แก้วที่แตกจะมีความคมมากขึ้น

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า วันนี้เราต้องถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดความสุจริต ซื่อสัตย์ ในการบริหารบ้านเมือง ตนพูดเสมอว่าในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งทางการเมือง ความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย จริยธรรมถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ควรนำมาเป็นอาวุธทางการเมือง มาทำลายฝ่ายการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ที่ใหญ่กว่าการคิดว่าพรรคจะมี สส.กี่คน เพราะเป็นหน้าที่ของพรรคการเมือง ที่หากเราแก้ไขได้ ก็จะอยู่คู่กับประเทศไทย เราจะไม่หายไปไหน

"ผมมีงานอดิเรกอยู่ 2-3 อย่าง แต่ผมก็แปลกใจว่างานอดิเรกวกกลับมาเรื่องการเมืองได้ ผมพูดถึงพรรคการเมืองที่พยายามดูด สส.ด้วยอำนาจเงิน อำนาจรัฐ หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมดูบอลอังกฤษ ระวังนะ ศูนย์หน้าฟอร์มดีๆ ค่าตัวแพงที่สุดย้ายสโมสรไปแล้วมันยิงไม่ได้ซักประตู  ผมฟังเพลงตอนเด็กๆ อยู่ต่างประเทศ ฟังเพลงสากล ทุกวันนี้ผมกลับมาสะสมแผ่นเสียง ล่าสุดเพิ่งซื้อแผ่นเสียงเทย์เลอร์ สวิฟต์ ซึ่งเทย์เลอร์มีคำคมเสมอ เทย์เลอร์ สวิฟต์ บอกว่า แก้วที่แตกจะมีความคมมากขึ้น ฉะนั้นใครที่กำลังจะมาทุบประชาธิปัตย์ เหมือนกำลังทุบแก้วที่แตก ผมจะบอกว่าทุบเสร็จผมจะเอาความคมของแก้วที่แตกไปตัดวงจรอุบาทว์ การซื้อเสียงและการคอร์รัปชัน สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องสู้ด้วยหัวใจ"

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า งานอดิเรกงานที่ 3 ที่ตนทำเป็นประจำ คือตนชอบแหย่ ทะเลาะกับเอไอ เมื่อคืนจึงแกล้งพิมพ์ให้เอไอช่วยออกแบบสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ ความสำคัญของสัจจะ การปราบอธรรมปราบมาร และความอุดมสมบูรณ์ ช่วยออกแบบมาให้หน่อย เอไอจึงทำให้ 4 แบบ ซึ่งแต่ละแบบก็ยังไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ตนจึงถามคำถามที่สองว่า เคยคิดถึงพระแม่ธรณีหรือไม่ เพราะพระแม่ธรณีคือพยานของความซื่อสัตย์ และสัจจะในวันที่มารผจญพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ และน้ำที่บีบออกจากมวยผม ชำระล้างจนพญามารหนี และทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ เอไอบอกยอมตน 4 อันที่ทำมาไม่สมบูรณ์เท่าพระแม่ธรณี แต่เอไอก็ไม่ยอมแพ้ตนง่ายๆ บอกว่าต้องไปออกแบบสัญลักษณ์ให้ดูทันสมัยหน่อย

"จึงอยากบอกกับทุกคนว่า อย่าหวั่นไหว  กลับมาวันนี้ก็มีคนปรามาสว่าเหล้าเก่าขวดเก่า  ไม่หรอก สัญลักษณ์พระแม่ธรณี ข้อความที่ระบุบนสัญลักษณ์ก็ดี คือคำตอบสำหรับยุคสมัยนี้อย่างแท้จริง แต่คนที่จะมาทำให้เกิดขึ้นได้ ให้ทันสมัยจริงคือพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ และวันนี้ผมขอเชิญชวนคนทั้งประเทศที่เบื่อกับการเมืองที่ท่านเห็นมา มาร่วมกัน" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สส.แห่โชว์กึ๋นจัดการกัมพูชา

พรั่งพรูพรรคการเมืองระดมมันสมอง นำเสนอวิธีจัดการกับกัมพูชา "หัวหน้าเท้ง" การสงครามก็เก่ง สวมบทขงเบ้งแนะวิธีปิดเกม

ทวงคืนหลายพื้นที่! ยึดปราสาทคนา-รุกคืบตาควาย-พลีชีพ1เจ็บ18/รบ.ไม่เจรจา

ศึกชายแดนไทย-กัมพูชาระอุ! เขมรเปิดแนวรบตั้งแต่ตีห้าในหลายพื้นที่ทั้ง “อุบลฯ-สุรินทร์-ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์-สระแก้ว”