รัฐบาลยกทีมแจงข้อพิพาทชายแดน “สิริพงศ์” ลั่นนายกฯ หนักแน่นแก้ปัญหา “โฆษก กห.” ย้ำเขมรละเมิดปฏิญญาชัดเจน ไทยไม่ต้องปฏิบัติตามโดยเฉพาะการถอนอาวุธหนัก ระบุเลิกเป็นปรปักษ์ถึงปล่อยเชลยศึก ทบ.ยังกั๊กปมฉีกเอ็มโอยู “กต.” อวดรุกการทูตแจงโลกทุกมิติ “พณ.” เดินหน้าเจรจาภาษีทรัมป์ ลั่นไม่เกี่ยวเรื่องมั่นคง หวังจบปลายปีนี้ “มาร์ค” แนะทำให้โลกเข้าใจว่าไทยไม่ใช่คนผิดปฏิญญา “จตุพร” นัดรวมพลแสดงพลัง 22 พ.ย.หน้าสถานทูตอเมริกาและมาเลย์
เมื่อวันจันทร์ที่ 17 พ.ย. 2568 ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ
โดยนายสิริพงศ์แถลงว่า นายกรัฐมนตรีมีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างหนักแน่นที่จะแก้ไขปัญหาชายแดน และบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและต่างประเทศให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และรัฐบาลให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีย่อหย่อนต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนข้อกังวลเรื่องสถานการณ์ทางการค้า นายกฯ มุ่งหมายสื่อสารกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คือขอให้แยกประเด็นทวิภาคีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงไทย-กัมพูชา ออกจากประเด็นผลประโยชน์ทางพาณิชย์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อวันที่ 16 พ.ย.เรามีข่าวสารที่เป็นผลบวกในแนวทางของนายกฯ กับสหรัฐฯ ผ่านนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ยืนยันสหรัฐอเมริกาแยกประเด็นนี้ออกจากกัน
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม (กห.) แถลงถึงกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดว่า ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.จนถึงวันที่ 10 พ.ย.เกิดเหตุ 7 ครั้ง มีทหารไทยบาดเจ็บ 20 ราย ทุพพลภาพขาขาด 7 ราย อีก 13 รายบาดเจ็บจากแรงกระแทก โดยทั้ง 7 ครั้งเกิดขึ้นในดินแดนของไทย และเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.เกิดขึ้นในเส้นทางลาดตระเวนที่ทหารไทยใช้เป็นประจำ โดยลักษณะวางเป็นกลุ่มก้อน 4 จุดใกล้เคียงกัน เพื่อมุ่งเป้าถึงชีวิต เป็นพฤติกรรมเดียวที่กัมพูชาใช้มาโดยตลอด ทุ่นระเบิดที่เหลือมีลักษณะใหม่ ตัวอักษรคมชัดเจน ซึ่งเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 ไทยได้ส่งรายงานไปยังคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวา ว่าไทยไม่มีการเก็บสะสมระเบิดสังหารบุคคลตั้งแต่เดือน ส.ค. 2562 รวมทั้งไม่มีการเก็บไว้ศึกษา เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าเราไม่มีทุ่นระเบิดในครอบครอง
“การดำเนินการของไทยหลังจากนี้ เมื่อฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดปฏิญญา เราจะระงับการดำเนินการตามปฏิญญา เช่นการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ โดยไม่สนว่ากัมพูชาจะดำเนินการหรือไม่ แต่การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในดินแดนไทยจะดำเนินการต่อไป โดยวางเป้าหมายไว้ 64 พื้นที่ แต่จะเริ่มใน 13 พื้นที่ก่อน ส่วนการปล่อยเชลยศึกจะเป็นการดำเนินการขั้นสุดท้ายเมื่อเห็นว่ากัมพูชาสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์กับไทย” พล.ร.ต.สุรสันต์ระบุ
ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) แถลงถึงจุดยืนของทหารต่อกระแสที่ขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา (เอ็มโอยู 2543-2544) ว่า ในฐานะผู้ปฏิบัติ เอ็มโอยู 43 นั้น อยู่ที่ผู้ปฏิบัติหรือคู่สัญญามากกว่า ซึ่งปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจากลายลักษณ์อักษรหรือข้อพันธะในสัญญาโดยตรง แต่เป็นเพราะผู้ที่ยึดถือสัญญาเป็นผู้ที่ไม่ยึดถือหรือไม่ปฏิบัติ และละเมิดบ่อย ไม่ทำตามข้อตกลงที่เราต้องแก้ไขด้วยการประท้วง ซึ่งเราก็ต้องทำตรงนั้นได้เต็มที่อยู่แล้ว
กองทัพกั๊กความเห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับกองทัพแล้วเอ็มโอยู 43-44 ยังจำเป็นหรือไม่ พล.ต.วินธัยระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่สามารถให้รายละเอียดโดยตรงได้ แต่ต้องรวบรวมรายละเอียดข้อมูลหลายส่วน ซึ่งเราพูดได้ตรงนี้คือ การปฏิบัติว่าเป็นปัญหาที่เราพบคือ ความไม่ตรงไปตรงมาของกัมพูชา
ขณะที่นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แถลงว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมา กต.ได้ดำเนินการทันทีในทุกระดับและไม่มีช่องว่าง โดยได้ประท้วงในกรอบอนุสัญญาออตตาวาไปยังญี่ปุ่น ในฐานะประธานภาคีประชุมอนุสัญญาออตตาวา และทำหนังสือถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UNSG) แจ้งเรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่และการยั่วยุที่บ้านหนองหญ้าแก้ว โดยไทยจะยกประเด็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชาในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญา ครั้งที่ 22 วันที่ 1-5 ธ.ค.นี้ ที่นครเจนีวา และเรายังทำหนังสือประท้วงไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เกี่ยวกับการรุกล้ำอธิปไตยไทย พร้อมให้เวียนหนังสือดังกล่าวให้รัฐสมาชิก UNSC ทราบด้วย
“จะชี้แจงต่อประชาคมโลกในทุกโอกาส โดยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ มีกำหนดร่วมประชุมรัฐมนตรีอินโด-แปซิฟิก (IPMF) ครั้งที่ 4 และจะพบกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทยในวันที่ 25 พ.ย.นี้ นอกจากนี้จะเดินหน้าเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตระดับรัฐมนตรี ในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ ขอยืนยันเราดำเนินการทูตเชิงรุกในทุกเวที” นายนิกรเดชกล่าว
ส่วน น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) แถลงถึงการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศว่า จากข้อมูลล่าสุดทั้งข้อความของนายอันวาร์และนายทรัมป์ เรามั่นใจว่าสหรัฐอเมริกาน่าจะยังมีเป้าหมายเดียวกับเรา ที่ยึดมั่นในเดดไลน์เดิมในการเจรจารายละเอียดของข้อตกลง ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาการค้าต่างตอบแทนให้เสร็จในสิ้นปีนี้
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าสหรัฐฯ ส่งจดหมายมาว่าขอหยุดเจรจาการค้า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร น.ส.โชติมา กล่าวว่า จากข้อความที่เรารับในวันเดียวกัน ก็ได้พูดคุยระหว่างผู้นําทั้งสองประเทศ ขณะนี้ประเทศเราจะยึดสิ่งที่ผู้นําทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกัน และยืนยันกลับไปยังยูเอสทีอาร์ว่า เราจะเดินหน้าพร้อมเจรจากับยูเอสทีอาร์ ซึ่งในส่วนของการเจรจาหลังจากเราตกลงเรื่องกรอบกันแล้ว ขณะนี้อยู่ในช่วงหารือรายละเอียดของข้อตกลงการค้า ยืนยันในระหว่างนี้เรายังไม่มีการหยุดการทํางาน
เมื่อถามว่า การเจรจาการค้าครั้งต่อไปจะมีเรื่องเขตแดนเข้ามาต่อรองหรือไม่ น.ส.โชติมากล่าวว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการนํารายละเอียดด้านความมั่นคงมาเกี่ยวข้องกับกรอบของการเจรจาด้วย อันนี้อาจจะเป็นปัจจัยที่อยู่ภายนอกของการเจรจา
เมื่อถามว่า หากการเจรจาไม่สิ้นสุดภายในสิ้นปีนี้จะมีแผนรองรับหรือไม่ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องนั้นเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่คิดว่าเราต้องทำงานกันต่อไป หากเป็นการเจรจาปกติ พร้อมยืนยันว่าไม่ขาดช่วง
ถามว่า ไทยจะขอลดอัตราภาษีนำเข้าให้ต่ำกว่า 19% หรือไม่ น.ส.โชติมากล่าวว่า ในฐานะนักเจรจาเราก็ต้องต่อรองเรื่อยๆ อยู่ตลอด พร้อมกับยืนยันว่าท่าทียูเอสทีอาร์ต่อฝ่ายไทยก็ยังคงเหมือนเดิม
ฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงฯ
ขณะเดียวกัน กต.ได้เผยแพร่จดหมายของนายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ลงวันที่ 14 พ.ย.ถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรเซียร์ราลีโอนประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยเนื้อหามีทั้งสิ้น 10 ข้อ โดยได้ไล่ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 ที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามถ้อยแถลงผลการหารือ ระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย จนมาถึงเหตุการณ์เหยียบกับระเบิดครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2568 รวมถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2568 เวลา 16.10 น. ที่ทหารกัมพูชาจงใจเปิดการยิงใส่ทหารไทยที่ประจำการในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งอยู่ในดินแดนของไทย ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างชัดเจน และเป็นเรื่องที่น่าตำหนิอย่างยิ่งที่หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนกัมพูชาได้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยกล่าวหาว่าเหตุการณ์ดังกล่าวริเริ่มโดยฝ่ายไทย สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์นี้เป็นการยั่วยุที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าโดยกัมพูชาอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนมีเจตนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ทุ่นระเบิดที่เกิดขึ้นล่าสุด ไทยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา
“การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชาต่อไทยมีแต่จะเพิ่มความตึงเครียด และเป็นการละเมิดอย่างชัดแจ้งต่อพันธกรณีที่มีร่วมกันภายใต้ถ้อยแถลง ซึ่งเป็นการขัดขวางความพยายามของทุกฝ่ายในการส่งเสริมการแก้ปัญหาสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่อย่างสันติ และเป็นการกัดกร่อนความไว้วางใจและความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้ไทยจึงถูกบีบให้ต้องระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงเท่าที่เหมาะสม จนกว่าจะสามารถมั่นใจในความจริงใจและสุจริตใจของกัมพูชาได้”นายเชิดชายระบุ
ด้านนายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู 2543-2544 จะดำเนินการไปพร้อมกับการเลือกตั้ง สส.ตามที่วางไว้หรือไม่ว่า นายกฯ พูดชัดแล้ว ให้รอฟังความเห็นจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และเอ็มโอยู 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของ สว. และ กมธ.วิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาของ สส.ก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น ถูกตั้งคำถามว่ารัฐบาลยื้อเอ็มโอยู 2543-2544 ทำไม ทั้งที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีอำนาจตัดสินใจได้ นายภราดรกล่าวว่า หนีไม่พ้นที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับกระบวนการด้วย ซึ่งการที่ประชาชนมีส่วนร่วมจะเข้าถึงข้อมูลทั้งสองฝ่าย ก่อนตัดสินใจว่าจะตัดสินใจแบบไหน
เมื่อถามว่า นายกฯ เคยระบุว่าไม่เห็นด้วยกับเอ็มโอยู ทั้ง 2 ฉบับ แล้วทำไมไม่ใช้อำนาจ ครม.ตัดสินใจยกเลิก นายภราดรกล่าวว่า ถึงได้บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และคิดว่าควรรับฟังความคิดเห็นให้รอบด้าน โดยในส่วนของพรรคภูมิใจไทยแสดงจุดยืนมานานแล้วว่าเห็นไปในทิศทางไหน แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลใหญ่กว่าพรรค ก็จำเป็นต้องรับฟังความเห็นของคนอื่นด้วย
แนะทำการทูตให้แข็งแกร่ง
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตนายกฯ กล่าวถึงท่าทีของนายอนุทินต่อกรณีภาษีนำเข้าสินค้าไทยของสหรัฐฯ และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เรื่องนี้ทุกคนเห็นตรงกันว่าสิ่งสำคัญคือเรื่องอธิปไตย และทุกคนอยากสนับสนุนกองทัพ ฝ่ายความมั่นคงในการปฏิบัติภารกิจ และขอย้ำอีกครั้งว่า เรามักตั้งคำถามที่ผิด ว่าจะเลือกการทหารหรือการทูต แต่ความจริงไปด้วยกัน เพราะการทูตที่แข็งแกร่งจะทำให้ทหารทำงานได้ง่าย
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า หากฟังข่าวอาจยังเกิดความสับสน สหรัฐฯ แจ้งว่าจะระงับ แต่นายกฯ บอกว่าได้พูดคุยกันแล้ว แต่อยากเสนอว่าควรตรวจสอบก่อน ว่าสหรัฐเคยระงับการเจรจากัมพูชาหรือไม่ เนื่องจากจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสหรัฐเชื่อใคร และจากที่ได้ฟังการแถลงของนายกฯ และประธานอาเซียน ขอให้รัฐบาลเอาให้ชัดว่า ตกลงเราเดินตามปฏิญญาสันติภาพหรือไม่ เพราะจากที่ฟังจากประธานอาเซียน เขาคิดว่าไทยเดินตามปฏิญญา จึงสันนิษฐานว่าที่สหรัฐฯ บอกว่าไม่ติดใจเพราะเราเดินตามปฏิญญาหรือไม่ หากใช่รัฐบาลต้องบอกให้คนไทยเข้าใจ และต้องดำเนินการตามปฏิญญา โดยไม่มีข้อจำกัดในการรักษาอธิปไตย และหากไม่ใช่ก็ต้องรับผลที่ตามมา ว่าเราจะทำความเข้าใจกับโลกอย่างไร ว่าที่ไทยไม่ทำตามปฏิญญาเพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดก่อน ซึ่งนี่เป็นการบ้านใหญ่ที่อยากฝากแนะนำรัฐบาลควรจัดประเด็นนี้ให้เกิดความชัดเจน เพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากจะอยากนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง ยังอยากสนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว เพื่อให้ประสบความสำเร็จทั้งสองเรื่องทั้งอธิปไตยและการเจรจาการค้า
“ต้องทำให้โลกเข้าใจให้ได้ว่าไทยไม่ใช่เป็นคนผิดปฏิญญา และอะไรที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาอธิปไตยต้องให้เข้าใจว่าเราไม่ใช่ผู้ละเมิด และการรักษาความสัมพันธ์ด้านอื่นก็ต้องดำเนินต่อไปอย่างปกติ และต้องให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นความจริง ด้วยการพิสูจน์ผ่านหลักฐานต่างๆ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอนเอกราช! ว่าคณะหลอมรวมพลัง เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และประชาชน ได้ประชุมและมีมตินัดชุมนุมหน้าสถานทูตมาเลเซียและสหรัฐอเมริกาในวันที่ 22 พ.ย. เพื่อประท้วงนายทรัมป์และนายอันวาร์ที่เข้าแทรกแซงเอกราชไทย ในกรณีปัญหากัมพูชารุกล้ำอธิปไตยเหนือดินแดนของไทยจนเกิดบาดหมางและทำพื้นที่ชายแดนตึงเครียด
“22 พ.ย.นี้ คนไทยจะส่งสัญญาณความไม่พอใจทรัมป์กับอันวาร์ ที่หน้าสถานทูตมาเลเซียและสหรัฐฯ เพราะเราเป็นประเทศเอกราช เราไม่ได้เป็นชาติที่ไร้ศักดิ์ศรี ซึ่งเราจะยินยอมโดยอ้างความกลัวไม่ได้ เมื่อกัมพูชาละเมิดแอบวางทุ่นระเบิดจนทหารไทยขาขาด แล้วไทยจะเจรจาอะไรกันต่อไปอีก” นายจตุพรระบุ
สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่ช่องเหว บ้านไทยนิยม ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เพื่อติดตามและรับฟังผลการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิด จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) และหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 4 กองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีกองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุรนารีให้การสนับสนุนการปฏิบัติในพื้นที่
เอาคนโรคจิตเข้าสนามรบ!
ส่วนเฟซบุ๊กเพจกองทัพภาคที่ 2 ได้โพสต์แจงภาพข่าวของสำนักข่าว Fresh News Daily ของกัมพูชา ที่โพสต์เรื่องฮีโร่ทหาร ซึม ซ็อมแอง ที่ถูกทหารไทยจับกุมและได้รับการปล่อยตัว และได้ฟื้นตัวกลับมาอยู่แนวหน้าว่า ร.ต.ซึม ซ็อมแอง คือเชลยศึกที่ถูกฝ่ายไทยเราควบคุมตัวไว้ในช่วงการสู้รบ ห้วงวันที่ 24 -28 ก.ค. ก่อนที่ทางการไทยจะปล่อยตัวกลับไป เนื่องจากอาการป่วยหนักและมีอาการทางระบบประสาทหรือจิตเภท ร.ต.ซึมยังเป็นบุคคลที่มีอาการพิษสุราเรื้อรัง และเสียสติจากความเครียดในระหว่างการทำการรบ โดยก่อนส่งตัวกลับ ร.ต.ซึมได้ทำเอกสารสัญญาว่าจะไม่เข้าทำการรบอีก ตามที่เขาลงนามเอาไว้
“การที่กัมพูชามีการนำบุคคลที่มีอาการทางจิตเภท เสียสติ หรือสภาพจิตใจไม่ปกติมาเข้าทำการรบ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง และการกระทำเยี่ยงนี้ยิ่งเป็นที่ย้ำชัดเลยว่า การปล่อยตัวเชลยศึกที่เหลืออีก 18 ราย ไม่สามารถกระทำได้จนกว่าความเป็นปรปักษ์จะสิ้นสุดต่อกัน”
พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ยังชี้แจงกรณีที่สำนักข่าว Fresh News กัมพูชา ระบุว่า กองกำลังทหารไทยกำลังเตรียมการโจมตี โดยมุ่งเป้าไปยังพื้นที่ธมอดา และโอพลุกด็อมเร็ย จังหวัดโพธิสัตว์ ในวันที่ 18 พ.ย. 2568 ว่าเป็นข่าวปลอมเช่นเดียวกับกรณีที่มีสื่อกัมพูชาระบุว่าทหารพรานไทยทำร้ายร่างกาย และข่มขืนแรงงานหญิงชาวกัมพูชาที่เดินทางกลับบ้าน ในพื้นที่สวายเจก อ.กุมเรียง จังหวัดพระตะบอง ก็เป็นข่าวปลอมเช่นเดียวกัน ขออย่าหลงเชื่อ
สำหรับพื้นที่ดังกล่าวของกัมพูชาจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ จ.ตราดของไทย โดย น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราดยังไม่มีแผนเข้าโจมตี รวมไปถึงยังไม่มีผู้บังคับบัญชาสั่งการแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งที่สื่อมวลชนกัมพูชานำเสนอมานั้น เป็นเพียงข่าวปลอมที่ต้องการความชอบธรรมให้ประเทศตัวเอง
“เมื่อวานนี้ทหารฝ่ายไทยพบทุ่นระเบิดใกล้เคียงกับพื้นที่บ้าน 3 หลังในฝั่งไทย ซึ่งเป็นทุ่นระเบิด PMN-2 สภาพใหม่ จึงต้องข้อสงสัยว่า การที่กัมพูชาปล่อยข่าวว่าไทยจะโจมตีนั้น มาจากเรื่องที่ทหารไทยพบทุ่นระเบิด PMN-2 เพื่อสร้างความชอบธรรมและกลบข่าวเรื่องการพบทุ่นระเบิด”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


