เคาะ3.788ล้านล.งบปี70 4หมื่นล.‘คนละครึ่ง’เฟส2

"อนุทิน" หัวโต๊ะเคาะกรอบงบปี 70  วงเงิน 3.788 ล้านล้านบาท ขาดดุล 7.88 แสนล้าน เร่งไทม์ไลน์เลี่ยงสุญญากาศช่วงเลือกตั้ง  ขีดเส้นชง ครม. ม.ค.69 หวังทันใช้ 1 ต.ค. แย้ม  "คนละครึ่งพลัส" เฟส 2 ใช้งบใกล้เคียงกับเฟสแรก 4 หมื่นล้านบาท "บวรศักดิ์” เผย 8 ธ.ค.นี้ นายกฯ ลงนามไทยร่วมเป็นสมาชิก OECD ช่วยดัน ศก.โต

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน   เวลา 09.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2570 โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

นายอนุทินกล่าวว่า เป็นการประชุมเพื่อพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2570 ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณปี 2561 มาตรา 24  เพื่อกำหนดนโยบายงบประมาณประจำปี ประมาณการรายได้ วงเงินงบประมาณรายจ่าย  และวิธีการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โครงสร้างงบประมาณ รวมทั้งการกำหนดกรอบงบประมาณการรายรับรายจ่าย และฐานะการคลัง งบประมาณล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 ปี

โดยการพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณในครั้งนี้ เพื่อให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และเพื่อการรักษาวินัยการเงินการคลัง   รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง โดยให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายภาครัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

จากนั้น เวลา 11.15 น. นายภราดรแถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้วางกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 ไว้ที่ 3.788 ล้านล้านบาท  ภายใต้รายได้สุทธิ 3 ล้านล้านบาท ทำให้ขาดดุล 788,000 ล้านบาท หรือขาดดุล 3.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เป็นการจัดทำงบประมาณที่ลดสัดส่วนการขาดดุลลงจากปีงบประมาณ 2569 ที่ขาดดุล 4.4% ของจีดีพี พร้อมวางกรอบว่าในปีต่อๆ ไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี คือการเดินหน้ายุทธศาสตร์ลดการขาดดุลลงทุกปี โดยปีงบประมาณ 2571-2573 จะขาดดุล 3.3%, 2.7%, 2.1% ตามลำดับ

 “นายกฯ แสดงความกังวลว่าปฏิทินงบประมาณอาจล่าช้าเหมือนช่วงปี 2566 หากขั้นตอนต่างๆ ไปชนกับการเลือกตั้ง โดยปกติงบประมาณจะผ่านคณะรัฐมนตรีในเดือน ก.พ.หรือ มี.ค. แต่ครั้งนี้นายกฯ เร่งรัดให้ต้องผ่าน ครม. ภายในเดือน ม.ค.2569 เพื่อเผื่อเวลาเอาไว้ในช่วงที่เป็นสุญญากาศในช่วงที่มีการเลือกตั้ง และป้องกันปัญหาในช่วงตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจกินเวลายาวไปถึงเม.ย.-พ.ค. และป้องกันการส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายจริง รวมถึงตัวเลขจีดีพีของประเทศ รัฐบาลจึงตั้งเป้าให้งบประมาณปี 2570 เริ่มใช้ได้ทันวันที่ 1 ต.ค.2569 โดยหากเกิดความล่าช้าจริงในกรณีแย่ที่สุด คาดว่าจะไม่เกินครึ่งเดือนถึง 1 เดือน ซึ่งยังน้อยกว่าความล่าช้า 8 เดือนที่เกิดขึ้นของปีงบประมาณ 2566” นายภราดรระบุ

รมต.ประจำสำนักนายกฯ ยังกล่าวถึงงบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของปีงบประมาณ 2569 ด้วยว่า มีอยู่ราว 70,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำจำนวนหนึ่งมาใช้ในโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ในเดือน ม.ค.2569 โดยเดือน ธ.ค.นี้จะประเมินวงเงินที่จะใช้ให้ชัดเจน เนื่องจากมีเงินที่เหลือจากโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 1 จากผู้ลงทะเบียนจำนวนหนึ่งไม่ได้ใช้สิทธิ์ทันกำหนด คาดว่ายังเหลืออยู่ประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้นำบางส่วนไปทำโครงการอัปสกิล-รีสกิลผู้ประกอบการคนละครึ่งพลัส 800 ล้านบาท  ส่วนที่เหลือราว 5,000 ล้านบาท จะถูกรวมกับงบใหม่สำหรับเฟส 2 ซึ่งอาจมีขนาดใกล้เคียงเฟส 1  ที่ใช้วงเงินกว่า 40,000 ล้านบาท

วันเดียวกัน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพัฒนา (OECD) ว่า เพิ่งกลับจากการประชุมโต๊ะกลมของ OECD ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ซึ่งประเทศสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิกประมาณ 50-60 ประเทศ ซึ่งไทยได้ยื่นความจำนงขอเข้าเป็นสมาชิกปีกว่าแล้ว โดยวันที่ 8 ธ.ค.นี้ เลขาธิการ OECD จะเดินทางมาลงนามความเข้าใจเริ่มต้น (MOU) ร่วมกับนายกรัฐมนตรี เป็นการเปิดกระบวนการอย่างเป็นทางการ จากนั้นจะเข้ามาดูว่าไทยทำมาตรฐาน ซึ่งมี 250 ฉบับ เกี่ยวพันกับส่วนราชการไทยตรงๆ เลย 34 ส่วนราชการ มีกระบวนงานที่ต้องปรับปรุงเป็นหมื่นกระบวนงานเพื่อให้เข้ามาตรฐาน OECD จะมีการทำต่อไปทั้งหมด 5 ขั้นตอน ถึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้

ทั้งนี้ ไทยตั้งความหวังไว้สูงว่า ปี 73 เราควรจะเข้าเป็นสมาชิก ซึ่งการได้เป็นสมาชิก OECD  จะทำให้ได้ประโยชน์ ถ้าไทยได้เข้าต่อจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับโลก โดยเฉพาะนักลงทุนตะวันตกและเอเชีย เขาจะรู้ทันทีว่ามาตรฐานของกฎหมาย ข้อบังคับ นโยบายของรัฐบาล และการปฏิบัติของส่วนราชการเข้าสู่มาตรฐานโลกของประเทศที่พัฒนาแล้ว สิ่งที่จะได้คือ เงินลงทุนที่มาจากทั่วโลกจะมาเมืองไทยด้วยความมั่นใจ ตนเชื่อว่าถ้าเราได้เป็นสมาชิกเงินลงทุนจะไหลมาที่ไทยเยอะ เพราะมาตรฐานไทยอยู่ในระดับสหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมนี เป็นต้น เศรษฐกิจไทยจะโตขึ้น จีดีพีโตขึ้น 1.6% หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2.7 แสนล้านบาท จ้างงานมากขึ้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน

'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง