ไฟเขียวกฎใช้กำลังรบเขมร

วง กมธ.ศึกษายกเลิก MOU 43-44 อืดหนัก ขอเพิ่มอีก 30 วัน หนุนรัฐบาลจัดเวทีดีเบตให้ความรู้ ปชช. ขณะที่ “บิ๊กเล็ก” ถกสภากลาโหม  เน้นย้ำกองทัพนำคณะ AOT ลงพื้นที่ แหกหน้ากัมพูชาสร้างสถานการณ์รายวัน เผย “อนุทิน” จ่อนั่งประธาน คกก.นโยบายความมั่นคงชายแดน แก้ปัญหาตรง ลุยวางหมุดชั่วคราว เริ่ม 2 พื้นที่พร้อมกัน "บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว" กองทัพเรือแฉยับเล่ห์เขมร จุดประทัดป้ายสีไทย-ปลอมผู้สังเกตการณ์

เมื่อวันพุธ ที่รัฐสภา นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง  สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการศึกษาว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนทำรายงาน มีเวลาศึกษาจนถึงวันที่ 3 ธ.ค.นี้ ซึ่งคิดว่าไม่ทัน จึงต้องขอขยายเวลาศึกษาออกไปอีก 30 วัน  เพื่อให้มีเวลาในการรวบรวมเอกสารและข้อมูลของแต่ละฝ่ายให้ได้เต็มที่ ซึ่งทางกรรมาธิการได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อไปรวบรวมหลักฐานและตรวจสอบข้อมูลให้สมบูรณ์ โดยมีนายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นประธาน

เมื่อถามว่า รัฐบาลเตรียมจัดดีเบตรับฟังความเห็นเรื่อง MOU 43-44 ทาง กมธ.จะมีส่วนร่วมอย่างไรนั้น นายสฤษฏ์พงษ์กล่าวว่า ตนเห็นด้วย เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม โดยเฉพาะพี่น้องชายแดน 7 จังหวัด โดยนำวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญให้ข้อมูลทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแก่ประชาชนตามแนวชายแดน           ที่กองทัพไทย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 10/2568 และการตรวจเยี่ยมหน่วยเพื่อมอบนโยบายเป็นแนวทางการปฏิบัติงานส่วนราชการ กองบัญชาการกองทัพไทย    โดย พล.อ.ณัฐพลย้ำในเรื่องการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาสันติภาพ หรือ Joint Declaration  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกองทัพที่ต้องทำตอนนี้คือ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ซึ่งแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ ก่อนที่จะเข้าไปปักหมุดชั่วคราว ครั้งที่ 1 ต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิดถึงวันที่ 17 พ.ย.68 ครั้งที่ 2 ปักหมุดชั่วคราวเริ่มตั้งแต่ 19 พ.ย.68 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ โดยคำว่าปักหมุดชั่วคราวคือบริเวณเส้นเขตแดนจะมีเส้นน้ำเงินและเส้นแดง เราจะไปปักหมุดบริเวณเส้นแดง

 “เมื่อปักหมุดเสร็จแล้วก็จะเป็นขั้นเจรจา ซึ่งภาษาที่ JBC ใช้คือการปรับถือครองที่ดิน หรือก็คือคนกัมพูชาที่อยู่ใต้เส้นแดงต้องออกไป ส่วนการออกไปก็จะมีการเจรจากันว่าจะทำอย่างไร โดยวานนี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ GBC เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้” พล.อ.ณัฐพลระบุ

ทั้งนี้ ขั้นตอนปักหมุดชั่วคราว กรรมการทั้งสองฝ่ายน่าจะใช้เวลาคุยประมาณ 1 เดือน ดังนั้นวันนี้เริ่มลงมือการปักหมุด น่าจะเสร็จประมาณกลางเดือนธันวาคม หรือไม่เกินสิ้นปีนี้ จากนั้นจะประชุม GBC ในเรื่องการปรับถือครองที่ดิน ว่าชาวกัมพูชาเกือบ 200 ครอบครัวจะทำอย่างไร

 “และในเรื่องนี้ได้แนะนำกับหน่วยต่างๆ ว่าการปฏิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดหรือการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ขอให้เชิญคณะครูสังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT เข้าไปร่วมสังเกตการณ์ด้วย เพราะจากช่วงเวลาที่ผ่านมาพบว่าฝ่ายกัมพูชาจะสร้างสถานการณ์เตรียมพร้อมเอาไว้ และเผยแพร่ข่าวได้ทันที ดังนั้นสิ่งที่ฝ่ายไทยจะเตรียมการได้คือ พยายามเอาชุด AOT เข้าไปสังเกตการณ์ เพื่อเป็นพยานให้กับฝ่ายไทย” พล.อ.ณัฐพลระบุ 

รมว.กลาโหมกล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมสภากลาโหมวันนี้ ทางกรมข่าวทหารบกได้รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และได้เน้นแนวทางการปฏิบัติ รวมทั้งอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องต่างๆ  เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและความรวดเร็วในการดำเนินงานมากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ลงนามยกร่างคำสั่งตั้ง “คณะกรรมการนโยบายความมั่นคงชายแดน” ซึ่งกรรมการประกอบด้วย   นายกรัฐมนตรี, รมว.กลาโหม, รมว.การต่างประเทศ, ปลัดกระทรวงกลาโหม, ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ, ปลัดกระทรวงมหาดไทย, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, ผู้บัญชาการเหล่าทัพ, เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เป็นกรรมการ ในการประชุมวงเล็ก ที่จะมีการหารือกันก่อนเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางในการทำงานร่วมกัน

 “หากมีปัญหาก็จะพูดคุยกันก่อน เช่นกระทรวงกลาโหมต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศตอบโต้หรือชี้แจง ก็จะมีการพูดคุยในที่ประชุมคณะกรรมการชุดนี้ก่อน หรือกระทรวงการต่างประเทศจะขอข้อมูลจากกระทรวงกลาโหม ก็จะสามารถใช้ช่องทางของคณะกรรมการชุดนี้ได้ เพื่อให้การทำงานดีขึ้น ซึ่งรูปแบบการทำงานคล้ายกับ ศบ.ทก.ที่ผ่านมา แต่ดีตรงที่ว่านายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานเอง ก็ถือว่ามีอำนาจในการตัดสินใจ หากนายกรัฐมนตรีติดภารกิจก็สามารถมอบให้รองนายกฯ  มาประชุมแทนได้” พล.อ.ณัฐพลระบุ

ส่วนกรณีการมอบนโยบายให้กองทัพเตรียมพร้อมสูงสุดหากเกิดสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนนั้น รมว.กลาโหมย้ำว่า ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดการปฏิบัติ แต่ทั้งนี้ ถ้ามีกำลังของฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามา ฝ่ายไทยจะปฏิบัติตามกฎการใช้กำลัง เริ่มจากการเตือนด้วยวาจา แต่หากยังรุกล้ำจะยิงเตือน และถ้ารุกล้ำเข้ามาอีกต้องยิงตรง

ขณะที่ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าบริเวณเส้นแดนที่มีการอ้างสิทธิ ที่จะมีการวางหมุดชั่วคราวว่า จะเริ่ม 2 พื้นที่ บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว พร้อมกัน

พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงว่า ตามที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเผยแพร่รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2025 คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนของกัมพูชา (ASEAN Observer Team: AOT) ได้ยุติภารกิจตรวจสอบการหยุดยิงบริเวณช่องทางผ่านแดนในเขตจังหวัดโพธิสัตว์ ภายหลังได้ยินเสียงคล้ายการใช้อาวุธจากฝ่ายไทยนั้น สำนักงานโฆษกกองทัพเรือขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ เวลาประมาณ 11.00 น. ระหว่างที่หน่วย TMAC ของไทยกำลังปฏิบัติงานต่อเนื่อง ได้สังเกตเห็นกลุ่มทหารกัมพูชากำลังสังเกตการณ์อยู่ภายในฐานจอมวย ซึ่งห่างจากแนวรั้วลวดหนามประมาณ 150 เมตร ได้เกิดเสียงดังคล้ายประทัดหรือเสียงไม่ทราบที่มา บริเวณไม่ไกลจากบริเวณนั้น กำลังพลทั้งสองฝ่ายก็ได้หลบและเข้าสู่ที่กำบังตามมาตรการความปลอดภัย

 “ภายหลังตรวจสอบโดยละเอียดของฝ่ายไทย  พบว่าไม่มีการใช้อาวุธหรือการปฏิบัติการใดๆ จากฝ่ายไทย โดยเบื้องต้นจากการสอบถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ทราบว่าเสียงดังกล่าวมีลักษณะคล้ายประทัดมากกว่าเป็นเสียงจากอาวุธปืน ซึ่งอาจเป็นการสร้างสถานการณ์โดยฝ่ายกัมพูชาเอง” โฆษกกองทัพเรือระบุ

ด้าน น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เปิดเผยว่า เบื้องต้นจากตรวจสอบพบว่าไม่ใช่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน  แต่เป็นเพียงทหารของฝ่ายกัมพูชาราวๆ 30 นาย จัดฉากให้เหมือนและคล้ายคณะ AOT เช่น การสวมหมวกสีฟ้า การแต่งกาย ในช่วงเวลาดังกล่าว ตนอยู่ในพื้นที่ด้วยเช่นกัน จึงได้ส่องกล้องทางไกลพร้อมนำโดรนบินขึ้นตรวจสอบเพื่อติดตามสถานการณ์ ระหว่างกำลังส่องกล้องได้ยินเสียงดังคล้ายประทัด 1 นัด ไม่นานคณะ AOT ปลอมก็สลายตัวออกไป นอกจากนี้ หน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดกองทัพยังคงปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดต่อไปในพื้นที่บ้านชำราก

วันเดียวกัน กองทัพบกนำคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย รวม 20 นาย จาก 17 ประเทศ เดินทางลงพื้นที่กองกำลังบูรพา จ.สระแก้ว เพื่อเยี่ยมชมการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้กิจกรรม Army Open  House ของกรมข่าวทหารบก ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2  โดยในครั้งนี้ทำให้คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทยได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.