“อนุทิน” ตีมึนเรื่องให้เตรียมตัว 12 ธ.ค. “สุชาติ” ปัดนายกฯ ไม่ได้ส่งสัญญาณให้รีบชงสารพัดโครงการในวันที่ 9 ธ.ค. รับคุยบ้านใหญ่คุณปลื้มลงตัวแล้วเรื่องพื้นที่ “ประเสริฐ” เดือด! จี้ “ข้าวฟ่าง-กานต์” ลาออก เหตุฝ่าฝืนจริยธรรม-ไม่ให้เกียรติพรรคและคนเสื้อแดง “หัวหน้าเท้ง” รับกลางรายการทีวี บอกคุยกับเพื่อไทยให้ยื้อยื่นอภิปรายจนกว่าจะลงมติแก้รัฐธรรมนูญก่อน “จุลพันธ์” รับมีการขอจริงแต่ไม่ให้พูด
เมื่อวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีย้ำในที่ประชุมพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ให้สมาชิกทุกคนเตรียมตัวในวันที่ 12 ธ.ค. 68 โดยนายกฯ อุทานว่า "เอ้า! ถามเรื่องการเมือง นึกว่าถามเรื่องงาน"
ขณะที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ กล่าวถึงกระแสข่าวรัฐบาลส่งสัญญาณให้แต่ละกระทรวงเสนอโครงการงบประมาณภายในวันที่ 9 ธ.ค. จะเป็นการบอกใบ้การยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค.หรือไม่ว่า ไม่มั่นใจและไม่ได้ดูเรื่องงบประมาณมาก เพราะขณะนี้สั่งการให้หน่วยเฉพาะกิจของกรมอุทยานฯ ดูแลเรื่องน้ำท่วม รวมไปถึงการบุกรุกพื้นที่อุทยานต่างๆ ซึ่งเรื่องงบประมาณเป็นเรื่องของปลัดกระทรวงและอธิบดี
"ไม่มี ไม่ได้บอก ไม่ได้คุยเรื่องงบประมาณแต่อย่างใด" นายสุชาติตอบคำถามว่านายกฯ สั่งหรือไม่
เมื่อถามถึงความชัดเจนของสัญญาณการยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ นายสุชาติกล่าวว่า ทุกคนพร้อมอยู่แล้ว เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เพราะทุกอย่างอยู่ใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญเดียวกัน ส่วนมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่จะยุบสภา 12 ธ.ค.นั้น นายกฯ พูดแล้วถ้าจะซักฟอกอยากฟังคำชี้แจ้ง ก็ต้องเป็นการอภิปรายตามมาตรา 152 โดยไม่ลงมติ แต่หากต้องการบีบบังคับกันก็ยื่นมาตรา 151 แค่นั้น เราไม่มีปัญหาพร้อมอยู่แล้ว และเชื่อว่าทุกพรรคการเมืองพร้อมเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง และขณะนี้เริ่มทำพื้นที่แล้ว
นายสุชาติยังกล่าวถึงการหารือกับนายสนธยา คุณปลื้ม แกนนำกลุ่มชลบุรี ในการจัดตัวผู้สมัคร สส.ชลบุรี โดยเฉพาะเขต 1 ว่าจบแล้ว ไม่มีอะไร นายสนธยาเข้าใจ เพราะเราทำการเมืองมาด้วยกันตั้งแต่พรรคพลังชล ซึ่งตนเองเหมาะสม เพราะเป็นผู้แทนเขตนั้นมาหลายสมัย เกิดที่ตำบลนั้น
เมื่อถามย้ำว่าจะลงเขต 1 เองหรือไม่ นายสุชาติกล่าวว่า ยืนยันประสงค์ขอเสนอตัวลงเขต 1 ชลบุรีเหมือนเดิม เพราะเคยเป็น สส.แบบแบ่งเขต ครั้งที่แล้วแค่ขึ้นบัญชีรายชื่อไปช่วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ เท่านั้น ตอนนั้นต้องดูหลายจังหวัดเท่านั้นเอง
“ผมบอกกับพี่แป๊ะว่าผมเหมาะสมกับเขต 1 ถ้าเฮ้งลงไม่มีปัญหา ก็โอเค แต่ถ้าเป็นคนอื่นก็ต้องดูความเหมาะสม ชาวบ้านแฮปปี้ ผู้นำแฮปปี้หมด ไม่มีแอบกินข้าวลับหลังใคร เราก็แฮปปี้ดี” นายสุชาติระบุ
เมื่อถามว่า แปลว่าตอนนี้ชลบุรีมี 2 บ้าน นายสุชาติกล่าวว่า ไม่ใช่ 2 บ้าน แต่บ้านเดียวกันคือบ้านภูมิใจไทย ยืนยันไม่มีความขัดแย้ง นายสนธยาเหมือนกับพี่อยู่แล้ว เพราะโตมาด้วยกัน แต่ปัญหาคือตอนการเมืองเป็นคนละกลุ่ม คนละพรรคว่าไปตามระบบ เราไม่ได้ไปทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องส่วนตัว ไม่มี
ถามว่า การจับมือกับนายสนธยาเป็นการสกัดกระแสพรรคประชาชน (ปชน.) หรือไม่ เพราะครั้งที่แล้วคะแนนตัดกันเอง นายสุชาติกล่าวว่า ถ้าคนข้างนอกมองจะมองแบบนั้น แต่คนใน จ.ชลบุรีไม่ได้มองแบบนั้น คนชลบุรีอยากให้เรารวมกัน เรามาจากบ้านเดียวกัน ผู้นำทุกอำเภอ ตำบล เทศบาล อยากให้พี่กับน้องอยู่ด้วยกัน เมื่อก่อนตนอยู่กับนายสนธยาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เป็นอะไร เป็น สจ., สท. ขึ้นรถคันเดียวไปด้วยกัน ภาพก็เป็นแบบนั้น
จี้ 2 สส.สาวลาออก
ส่วนที่พรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงกรณี น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร สส.ขอนแก่น และ น.ส.สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ สส.อุบลราชธานี รวมถึงสมาชิกพรรค พท.ส่วนหนึ่ง ที่ได้ไปร่วมกิจกรรมกับพรรคการเมืองอื่นว่า ไม่เคารพต่อคะแนนเสียงที่ประชาชนได้มอบให้ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และยังไม่เคารพต่อความรู้สึกของพี่น้องคนเสื้อแดงคนรักประชาธิปไตย ดังนั้นการที่ สส. 2 ท่านและก่อนหน้านี้อีก 8 คน เปิดเผยตัวเองชัดเจนว่าจะไปสังกัดพรรค ภท. จึงเป็นการไม่ให้เกียรติและฝ่าฝืนจริยธรรมของพรรค 2 สส.ควรลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค พท. และ น.ส.สรัสนันท์ ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ ซึ่งเป็นโควตาของพรรค พท. ก็ควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นพรรคจะดำเนินการเรื่องมาตรฐานจริยธรรมต่อไป เพราะยังมีการชักชวน สส.ภายในพรรค โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่นให้ย้ายออกจากพรรคตามไปด้วย
“ได้ทำความเข้าใจตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าตัวเคยยืนยันว่าอยู่พรรคเพื่อไทย แต่เมื่อปรากฏภาพเมื่อวานถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติพรรค พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ฉะนั้นการดำเนินการต่างๆ ก็ไม่เคารพต่อสิ่งที่พี่น้องประชาชนได้มอบให้ ในการเลือกตั้งปี 2566 และไม่เคารพต่อมวลชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอนแก่นและอุบลราชธานีที่เป็นฐานมวลชนของพี่น้องที่รักประชาธิปไตย”
นายสมคิด เชื้อคง อดีต สส.อุบลราชธานี พรรค พท. โพสต์เฟซบุ๊กเรื่องนี้ว่า เป็นหน้าที่พรรค พท.จะเดินหน้าสรรหาคนใหม่ไปลงสมัคร ให้พี่น้องตัดสินใจ อย่างที่เคยบอกมีคนออกไปก็มีคนเข้ามา ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมาย
“พท.เดินหน้าพร้อมเลือกตั้งที่จะมาถึงในเวลาที่จะเร็วกว่าเดิม เพราะฝ่ายน้ำเงินใช้พลังดูดมากมาย คงไม่อยู่นาน เพราะมองว่าตัวเองได้เปรียบในสนาม ดีแล้วครับไสช้างออกมาเลย นายกฯ หนู เราพร้อมชนให้รู้กันไปเลยว่า ปชช.จะเลือกใคร”
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม เป็นที่ปรึกษาของรองนายกฯ มีหน้าที่ให้คำปรึกษา เสนอแนะ และติดตามประสานงานภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2566 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งนายปรเมศวร์ ให้ดำรงตำแหน่งอัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด
วันเดียวกัน ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ ดำเนินรายการโดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้เชิญ 3 แคนดิเดตนายกฯ พรรคประชาชน (ปชน.) ได้แก่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล และนายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เข้าร่วมพูดคุยประเด็นการเมือง ช่วงหนึ่งของรายการได้สอบถามถึงสถานการณ์ทางการเมือง หากพรรค พท.ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และนายอนุทินตัดสินใจยุบสภา จะส่งผลให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องสะดุดหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า หากเกิดการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจริง พรรคประชาชนพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ คงไม่สามารถไปอุ้มอะไรได้
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า นายณัฐพงษ์ไปพูดคุยกับ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่และหัวหน้าพรรค พท.เพื่อขอให้รอผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ก่อน จึงยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ชี้แจงว่า การพบปะดังกล่าวไม่ใช่การขอ แต่เป็นการหารือเพื่อประเมินทิศทางทางการเมือง โดยเป็นการเจรจาโดยยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดบนโต๊ะได้ เพราะถือเป็นเรื่องมารยาท พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการร่วมรัฐบาล หรือแบ่งโควตารัฐมนตรีแต่อย่างใด
จุลพันธ์รับขอร้องจริง
เมื่อถามว่า เป็นการคาดการณ์ให้พรรคเพื่อไทยรอจนกว่าร่าง พ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านวาระ 3 ก่อนหรือไม่ นายณัฐพงษ์ตอบว่า เป็นบทสนทนาที่ทุกคนก็คาดการณ์ทิศทางได้ ที่เข้าไปคุยกับนายจุลพันธ์ก็เพื่อยืนยันว่า เราตั้งใจแก้รัฐธรรมนูญจริง เซ็น MOA ก็เพราะอยากให้ประเทศเดินหน้า แต่การตัดสินใจเป็นเรื่องของทางพรรค พท. ถ้ายื่นอภิปรายพรรคเราก็พร้อมทำหน้าที่อย่างเต็มที่ นั่นคือสิทธิของคุณ
ส่วนนายจุลพันธ์ระบุว่า มีการร้องขอมาจริง โดยนายณัฐพงษ์เป็นคนขอว่าไม่ให้พูด และเป็นคนขอว่ายังไม่ใช่ประเด็นสื่อสาร ซึ่งพรรคยืนยันในเรื่องของจุดยืนว่าเราจะเดินหน้าตรวจสอบรัฐบาล แต่นายณัฐพงษ์และพรรค ปชน.ได้ร้องขอให้ชะลอเพื่อให้รอการลงมติวาระ 3 ซึ่งยังไม่มีข้อตัดสินใจหรือข้อสรุป ดังนั้นหลังจากนี้ไม่เกินก่อนเปิดสมัยประชุม คงได้ติดต่อประสานงานและพูดคุยกับนายณัฐพงษ์และทีมเพื่อสรุปเรื่องทิศทาง
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะยื่นซักฟอกภายหลังเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านวาระ 3 ไปก่อน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เป็นไปได้ทุกอย่าง เพราะเราต้องคำนึงถึงทุกองค์ประกอบ ต้องมีการหารือกัน ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการใดๆ โดยมารยาทจะประสานงานกลับไป แต่การตัดสินใจของพรรคคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดนี้ จะเป็นการตัดสินใจภายในว่าจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างไร เมื่อไหร่ หากพรรค ปชน.ตัดสินใจอย่างไร จะร่วมตรวจสอบหรือจะรอหรือเว้นวรรคอย่างไร ถือเป็นอำนาจและเป็นการตัดสินใจของแต่ละพรรคการเมืองที่ทำได้
ถามถึงกรณีที่พรรค ปชน.เปิดแคนดิเดต 3 นายกฯ ของพรรคแล้ว นายจุลพันธ์กล่าวว่า ไม่ได้เหนือความคาดหมาย คุ้นหน้าคุ้นตาดี มีความสนิทสนม รู้มือกันในการทำงาน ไม่ได้ประหลาดใจ ขอให้สามารถเดินหน้าได้ตามที่คาดหวัง ในส่วนของพรรค พท.เรามีกำหนดไว้เหมือนกันว่าจะเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คาดว่าเป็นเดือน ธ.ค. มาดูกันว่าจะเป็นที่ประทับใจของพี่น้องประชาชนมากน้อยเพียงใด
“เชื่อมั่นเพราะแคนดิเดตนายกฯ ของเรามีองค์ประกอบที่หลากหลาย มีภูมิหลังพื้นเพที่มีความแตกต่างกัน เพื่อที่จะตอบโจทย์ประชาชนในแต่ละกลุ่มได้ เป็นจุดเด่นของแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย คงได้รู้กัน”
นายจุลพันธ์ยังกล่าวว่า สัญญาณที่ออกมาจากรัฐบาลและฟากฝั่งการเมืองค่อนข้างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าภายในวันที่ 12 ธ.ค.นี้อาจยุบสภา ซึ่งเป็นการตัดสินใจของนายกฯ รวมถึงมีสัญญาณว่าวันที่ 9 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็มีสัญญาณว่าจะนำเรื่องที่เร่งด่วนเข้าสู่การพิจารณาเป็นการด่วน ซึ่งสองจุดนี้เป็นสัญญาณที่ส่งมาอย่างชัดเจนจากรัฐบาลโดยนายอนุทิน
“ครม.ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และรับฟังความเห็นอย่างรอบด้านจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรเร่งรัดเพื่อเอาโครงการ เอางานของราชการเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.เป็นการเร่งด่วน เพราะอาจมองได้ว่าเป็นการทิ้งทวน พวกผมจะติดตามอย่างใกล้ชิด หากมีแนวโน้มที่อาจมีโครงการที่สุ่มเสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชันนั้น เราติดตามอย่างจริงจัง” นายจุลพันธ์ระบุ
นายจุลพันธ์ยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าสามารถเดินหน้าคำถามที่ 1 และคำถามที่ 2 ได้ แต่เมื่อคำถามที่ 2 ยังไม่พร้อม อย่างน้อยคำถามที่ 1 ที่จะถามประชาชนในวันเลือกตั้ง ว่าเห็นควรที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งถือเป็นคำถามที่สำคัญ หากประชาชนเห็นด้วยที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจะเป็นข้อผูกมัดและผูกพันกับรัฐบาลใดๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่จะมาเป็นรัฐบาล
ขอความจริงใจแก้ รธน.
“การที่จะต้องขับเคลื่อนตามเสียงของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นสิ่งที่เราอยากเรียกร้องไปกับรัฐบาล ให้ท่านเร่งทำเพื่อแสดงความจริงใจ อย่าให้เป็นดังคำปรามาส ขอให้แสดงความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าท่านมีความตั้งใจจริงๆ อย่างน้อยต้องมีคำถามที่ 1 เข้าไป" นายจุลพันธ์กล่าว
ส่วนนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา กล่าวว่า ในวันที่ 25 พ.ย. กมธ.จะประชุมเพื่อพิจารณาเนื้อหาที่รอการพิจารณา ซึ่งมีทั้งที่ต้องลงมติในชั้น กมธ.และการปรับแก้ไขถ้อยคำตามที่กฤษฎีกาเสนอ จากนั้นในวันที่ 26 พ.ย.ช่วงเช้าได้เชิญผู้ที่แปรญัตติเข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจงประกอบคำแปรญัตติ โดยมีผู้เสนอคำแปรญัตติทั้งสิ้น 5 คน แบ่งเป็น สส. 1 คน และ สว. 4 คน เบื้องต้นคาดว่า กมธ.จะพิจารณาเนื้อหาทั้งฉบับให้แล้วเสร็จได้ตามกำหนดเวลาคือวันที่ 26 พ.ย. ก่อนส่งรายงานของ กมธ.ให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ในช่วงปลายสัปดาห์นี้หรืออย่างช้าต้นสัปดาห์หน้า เพื่อให้บรรจุวาระการประชุมของรัฐสภา
ต่อข้อถามที่ว่า มองอย่างไรกับการเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาวาระสอง ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8-11 ธ.ค. นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า ไม่ติดอะไรเพราะยังอยู่ในกรอบไทม์ไลน์ และการลงมติวาระ 3 จะยังอยู่ในช่วงเดือน ธ.ค.นี้
ถามว่า กังวลจะมีการยุบสภาก่อนหรือไม่ นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า เป็นอีกประเด็นที่กังวลที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของ กมธ. ซึ่ง กมธ.พยายามทำให้เสร็จภายในเดือน พ.ย.นี้ ส่วนประเด็นการยุบสภาขอวิงวอนไปยังฝ่ายการเมือง ว่าอย่าเล่นเกมการเมืองมากเกินไป เพราะขณะนี้ประชาชนกำลังรอคอยการไปใช้สิทธิลงประชามติ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ใน 2 ประเด็นคำถาม
“อย่าให้เกมการเมืองเป็นอุปสรรคต่อเจตนารมณ์ของประชาชน หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นอาจมีคำถามจากประชาชนต่อพรรคการเมือง ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องสะดุดลง ดังนั้นอย่าทำให้เจตจำนงของประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเสียไป”นายนรเศรษฐ์กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


