ปล่อย 18 ทหารกัมพูชา “ไทย” ทวงถามความจริงใจ “เก็บกู้ทุ่นระเบิด-ปราบอาชญากรรมไซเบอร์” เหตุยังไม่คืบหน้า “อนุทิน" โพสต์รบจนสุดใจขาดดิ้น ขณะที่ ทบ.โต้ CMAC ปมใช้ “สารเคมี-วัตถุระเบิด” สมช.ชี้ทบทวน MOU 43 ภายใต้เงื่อนไขในอนาคต ด้าน “ทภ.1" ยืนยัน 3 พื้นที่เป็นของไทย ต้องเข้าจัดระเบียบ-รักษาความปลอดภัยให้ประชาชน ขณะที่ประชาชนอีสานใต้ยังไม่ไว้ใจสถานการณ์
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เรื่อง การส่งทหารกัมพูชา 18 คน กลับกัมพูชา โดยระบุว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ฝ่ายไทยได้ส่งทหารชาวกัมพูชา 18 คน ที่ถูกทางการไทยควบคุมตัว กลับสู่มาตุภูมิ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อ 11 ของถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ได้ลงนามในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ซึ่งระบุว่า ไทยจะส่งทหารกัมพูชา 18 คนกลับกัมพูชา ภายหลังจากการหยุดยิงเป็นเวลาต่อเนื่อง 72 ชั่วโมง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
พร้อมยืนยันว่า นับตั้งแต่ทหารกัมพูชาทั้ง 18 คนถูกควบคุมโดยทางการไทย ทหารเหล่านี้ได้รับการดูแลตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1949 และหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติด้านมนุษยธรรมของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) โดยทางการไทยได้อนุญาตให้ ICRC เข้าเยี่ยมเป็นระยะๆ และประสานการนำส่งจดหมายของทหารกัมพูชาเพื่อติดต่อกับครอบครัว
กระทรวงการต่างประเทศยังระบุว่า การส่งกลับทหารกัมพูชาดังกล่าวสอดคล้องกับอนุสัญญาเจนีวาฯ ฉบับที่ 3 เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก โดยทางการไทยได้ตรวจสุขภาพก่อนส่งกลับ และแจ้งให้ทราบถึงสิทธิต่างๆ ตามอนุสัญญาเจนีวาฯ เพื่อประกันว่า การเดินทางกลับมาตุภูมิเป็นไปบนพื้นฐานของความสมัครใจ ปลอดภัย และมีศักดิ์ศรี และ ICRC ได้แจ้งให้ครอบครัวของทหารกัมพูชาทราบถึงการส่งกลับในวันนี้ด้วย นอกจากนี้ ICRC และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ได้ร่วมสังเกตการณ์การส่งกลับด้วย ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของไทยที่จะเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับกัมพูชา และเป็นการแสดงถึงการยึดมั่นในอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1949 และหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศของไทย โดยไทยหวังว่า กัมพูชาจะตอบสนองเจตนารมณ์ดังกล่าว ด้วยการกระทำที่เป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างสองประเทศ
ทางด้านศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เปิดเผยว่า การดำเนินการส่งตัวทหารกัมพูชาครั้งนี้เกิดขึ้นจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด หมู่ที่ 4 ตำบลคลองใหญ่ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี โดยมีผู้แทนจาก ICRC และ AOT รวมถึงผู้แทนจากกองทัพภาคที่ 2 ร่วมสังเกตการณ์ โดยฝ่ายกัมพูชามีผู้แทนรับตัว ได้แก่ ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 และผู้ว่าราชการจังหวัดไพลิน โดยฝ่ายไทยได้ดำเนินการบันทึก ตรวจสอบ และติดตามข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง ตามกลไกและแนวปฏิบัติระหว่างประเทศ เพื่อยืนยันความถูกต้อง โปร่งใส และความรับผิดชอบของทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า การดำเนินการนี้ไม่กระทบต่ออธิปไตย ความมั่นคง หรือศักดิ์ศรีของประเทศ โดยกองทัพไทยยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อคุ้มครองประชาชนและรักษาความปลอดภัยของพื้นที่ชายแดน
18 ทหารเขมรพบฮุน มาเนต
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ... "ขอต้อนรับทหาร 18 นาย ที่ได้รับการปล่อยตัวกลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัย"
หลังจากสมเด็จฮุน เซน ได้โพสต์ภาพและข้อความอีกว่า "ทหารกล้าของกองทัพกัมพูชาจำนวน 18 นาย ได้เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์มาถึงกรุงพนมเปญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากฝ่ายไทยได้ปล่อยตัวและส่งกลับคืนให้กัมพูชา ในช่วงบ่ายของวันที่ 31 ธ.ค. ทหารกล้ากองทัพกัมพูชาทั้ง 18 นาย ได้เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์มาถึงกรุงพนมเปญ ภายหลังจากฝ่ายไทยปล่อยตัวและส่งมอบกลับคืนให้กัมพูชา หลังจากถูกควบคุมตัวเป็นระยะเวลา 155 วัน นับตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.68 ทหารกล้าทั้ง 18 นายของกองทัพกัมพูชา ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้นำระดับสำคัญของรัฐบาลกัมพูชา รวมถึงพี่น้องประชาชนจำนวนมาก นอกจากนี้ ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทหารกล้าทั้ง 18 นาย ยังจะได้พบกับสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้เข้าพบและพูดคุย ณ วิมานสันติภาพ (ทำเนียบนายกรัฐมนตรีกัมพูชา) อีกด้วย"
ขณะที่พลเมืองกัมพูชาจำนวนมากพากันออกมารวมตัวเพื่อให้การต้อนรับเหล่าทหารเชลยศึกทั้ง 18 นาย โดยหลังจากที่รถบัสวิ่งผ่านมาชาวเขมรต่างพากันโบกมือและธงชาติกัมพูชากันเป็นจำนวนมาก
วันเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย โพสต์ภาพที่ถ่ายร่วมกับทหารบนปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ในภารกิจตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพล เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมระบุข้อความ “ไทยรบจนสุดใจขาดดิ้น” ซึ่งเป็นข้อความท่อนหนึ่งจากคำโคลง “สยามานุสสติ” พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
กองทัพภาคที่ 1 ชี้แจงเกี่ยวกับการปฏิบัติของฝ่ายไทยในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว โดยยืนยันว่า การดำเนินการของกองทัพภาคที่ 1 เป็นไปด้วยความรอบคอบ ยึดหลักความถูกต้อง และความรับผิดชอบต่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดนเป็นสำคัญ โดยพื้นที่บริเวณบ้านคลองแผง บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว เป็นพื้นที่ในอธิปไตยของประเทศไทยมาโดยตลอด
พร้อมยืนยันว่า ภายหลังจากเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศกัมพูชาในอดีต ฝ่ายไทยได้เปิดพื้นที่ดังกล่าวให้ประชาชนจากประเทศกัมพูชาเข้ามาพักพิงชั่วคราวด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้หน่วยงานระหว่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อันสะท้อนให้เห็นถึงบริบทของพื้นที่ในช่วงเวลาดังกล่าวว่าเป็นการรองรับด้านมนุษยธรรม มิใช่การโอนอำนาจหรือสิทธิใดๆ ในพื้นที่ โดยต่อมา เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ฝ่ายไทยได้ตรวจพบว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในลักษณะเป็นที่ทำการของส่วนราชการของฝ่ายกัมพูชา รวมถึงการปรากฏตัวของกำลังติดอาวุธและหน่วยรักษาความมั่นคงของกัมพูชา เข้ามาประจำการในพื้นที่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่จากเดิมที่เป็นการพักพิงด้านมนุษยธรรม ไปสู่ลักษณะที่กระทบต่อความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ
การเข้าดำเนินการของกองทัพภาคที่ 1 ในการจัดระเบียบพื้นที่ รวมถึงการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบางส่วน จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามความจำเป็น เพื่อฟื้นฟูให้เกิดความสงบเรียบร้อย ป้องกันการใช้พื้นที่ในลักษณะที่กระทบต่อความมั่นคง และยืนยันการดูแลพื้นที่ชายแดนให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐไทย โดยมิได้มีเป้าหมายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ และยังคงคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยืนยันว่า ฝ่ายไทยไม่มีนโยบายรุกล้ำอธิปไตยของประเทศใด และการปฏิบัติทุกขั้นตอนเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตย ความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดนเป็นสำคัญ และขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า การปฏิบัติภารกิจของกำลังพลเป็นไปด้วยความโปร่งใส รอบคอบ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงในพื้นที่ พร้อมยืนหยัดในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและความสงบสุขของประชาชนอย่างเต็มกำลัง
ไทยพร้อมรบถ้ารุกรานอีก
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เผยแพร่คำแถลงการณ์ประเด็นสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า 1.สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของสภาความมั่นคงเเห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ยินดีกับแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ที่สะท้อนให้เห็นความจริงใจและเจตนารมณ์ของไทยในการแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีผ่านกรอบความร่วมมือระดับทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกัน โดยแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวดำเนินการภายใต้กรอบ สมช.และคณะรัฐมนตรี (ครม.ให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2568)
2.สมช.ยืนยันว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นผลจากการพิจารณาและตัดสินใจร่วมกันของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการคุ้มครองชีวิต ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ของเจ้าหน้าที่และประชาชน ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักการแห่งสันติภาพและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประเทศไทยถูกละเมิดอธิปไตยหรือถูกรุกรานอีกครั้ง ประเทศไทยมีความจำเป็นและมีสิทธิอันชอบธรรมในการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน ภายใต้กรอบของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าวมาโดยตลอดอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ
3.ประเด็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา สมช.มีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนอย่างเหมาะสม ครอบคลุม และต่อเนื่อง ตลอดจนดูแลความเป็นอยู่และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่
4.ประเด็นด้านมนุษยธรรม ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองชีวิต ศักดิ์ศรี และความปลอดภัยของบุคคลที่ไม่เข้าร่วมการสู้รบเป็นหลัก จึงนำมาซึ่งการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชา 18 คน ตามมติ สมช. ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ประเทศไทยคาดหวังให้กัมพูชาแสดงท่าทีและบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมในการปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักมนุษยธรรมในลักษณะเดียวกัน ทั้งการอำนวยความสะดวกคนไทยในกัมพูชาให้กลับประเทศอย่างปลอดภัย การป้องกันอันตรายจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งนี้ กัมพูชาต้องแสดงความจริงใจในการร่วมมือและเร่งรัดการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เสี่ยงอย่างจริงจัง
“การยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมและการปฏิบัติตามพันธกรณีตามอนุสัญญาดังกล่าวอย่างจริงใจ จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ สันติภาพ และความปลอดภัยอย่างยั่งยืนตามแนวชายแดนและในภูมิภาคโดยรวม ส่วนการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ และการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการหลอกลวงทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์ร่วมกับกัมพูชา แต่การดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก จึงต้องการเห็นกัมพูชาร่วมมือในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าวอย่างเด็ดขาดและเป็นรูปธรรม เพื่อความมั่นคงของภูมิภาค”
6.ประเด็นเขตแดนนั้น การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะดำเนินการภายใต้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ซึ่งไทยปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ เเละสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง และยึดถือตามแผนที่ 1:50,000 เป็นหลัก เนื่องจากมีความชัดเจน ถูกต้องแม่นยำ สอดคล้องกับภูมิประเทศจริง และลากเส้นตามฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในอนาคตจำเป็นต้องคำนึงถึงเงื่อนไขและห้วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลรักษาการ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในอนาคตที่จะพิจารณาการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป ซึ่งอาจมีการทบทวนบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 43) จึงต้องคำนึงถึงเงื่อนไขในอนาคตด้วย
7.สุดท้ายนี้ ยืนยันว่าประเทศไทยจะดำรงการปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมฯ ตราบเท่าที่กัมพูชาจะดำเนินการตามแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารจะดำรงความพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ ตลอดจนความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ
ชาวบ้านยังผวางดจุดพลุ
ทางด้านกองทัพบก ชี้แจงกรณีที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ออกประกาศโดยระบุว่า การสู้รบกัมพูชา-ไทย 2 ครั้งในปี 2568 นี้ กองทัพไทยได้ใช้วัตถุระเบิดหลายประเภท เช่น ลูกระเบิดทิ้งจากเครื่องบิน, ระเบิดพวง (ระเบิดลูกปราย), ระเบิดควันพิษ (สารเคมี), กระสุนปืนใหญ่ทุกประเภท, ระเบิดขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถคำนวณได้ต่อดินแดนกัมพูชา ทั้งในพื้นที่สู้รบ ที่ตั้งทางทหาร และเป้าหมายพลเรือน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล วัด ชุมชน และพื้นที่เกษตรกรรม
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงกรณีความกังวลต่อวัตถุระเบิดจากฝ่ายไทยว่า กองทัพบกขอยืนยันว่า การใช้กำลังของฝ่ายไทยเป็นไปตามหลักยุทธวิธีและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยมุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหารที่มีความจำเป็นทางยุทธการ มีการควบคุมทิศทาง ระยะ และผลกระทบอย่างรัดกุม ไม่ใช่การใช้อาวุธในลักษณะสุ่มเสี่ยงหรือกระจายโดยไม่เลือกเป้าหมาย จึงไม่ใช่สถานการณ์ที่ควรสร้างความตื่นตระหนกต่อประชาชน
ส่วนประเด็นระเบิดลูกปรายและอาวุธเคมี กองทัพบกยืนยันว่า ไม่มีการใช้อาวุธเคมีหรือสารพิษใดๆ ตามที่มีการกล่าวอ้าง และการเชื่อมโยงฝ่ายไทยกับอาวุธต้องห้ามดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อมูลซ้ำซาก ส่วนกรณีที่มีการกล่าวถึงระเบิดลูกปราย กองทัพบกขอย้ำว่า การปฏิบัติของฝ่ายไทยไม่ก่อให้เกิดวัตถุระเบิดตกค้างที่เป็นอันตรายต่อประชาชนตามที่ถูกกล่าวอ้าง ส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดในปัจจุบันคือ การตรวจพบวัตถุระเบิดและกระสุนตกค้างจำนวนมากอยู่ในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ทั้งในชุมชน บ้านเรือน วัด โรงเรียน โรงพยาบาล และพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นผลจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาเอง กองทัพบกจึงเห็นว่า ประเด็นด้านความปลอดภัยของประชาชนควรเริ่มจากการยอมรับข้อเท็จจริง และความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง มากกว่าการกล่าวโทษหรือบิดเบือนข้อมูลต่อสาธารณะ
โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า การปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยดำเนินไปบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ความจำเป็นทางยุทธการ และการเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยของประชาชนและการคุ้มครองพื้นที่พลเรือน การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือบิดเบือน ไม่เพียงไม่สะท้อนความเป็นจริงในพื้นที่ แต่ยังเสี่ยงต่อการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อความปลอดภัยหรือเสถียรภาพในระยะยาว กองทัพบกจึงขอให้ทุกฝ่ายยึดถือข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้เป็นหลัก และร่วมกันลดการใช้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศหมู่บ้านในพื้นที่แนวชายแดน ต.จันทบเพชร ต.สายตะกู และ ต.โคกกระชาย อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ว่า ส่วนใหญ่ประชาชนเริ่มออกมาใช้ชีวิตกันตามปกติบ้างแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้อนุญาตให้ประชาชนที่อพยพได้เดินทางกลับเข้าบ้านเรือนได้ตามปกติ โดยพบว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างหวาดระแวง ซึ่งบางส่วนเริ่มเข้าทำการปัดกวาดทำความสะอาดบ้านเรือน ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็น เก็บไว้อยู่ในกล่องและกระเป๋าไว้พร้อมสำหรับเตรียมเดินทางได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ชาวบ้านยังได้เรียกร้องและขอความร่วมมือประชานที่เดินทางกลับมาเที่ยวเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ยังพื้นที่ในหมู่บ้านแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยขอให้อย่าเปิดเพลงส่งเสียงดัง และจุดพลุหรือประทัด เพราะจะทำให้เกิดเสียงดัง ซึ่งชาวบ้านยังหวาดวิตกและเกิดความสับสน ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของพลุ ประทัด หรือปืนใหญ่ ทั้งอาจจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ เพื่อก่อให้เกิดการสู้รบกันอีกก็ได้
นางทองใส พรหมทา อายุ 65 ปี กับ น.ส.วรรณา พรหมทา อายุ 32 ปี สองแม่ลูกชาว ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านใกล้กับชายแดน บอกว่า วันนี้เพิ่งได้มีโอกาสขนเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ลงจากรถ และถือโอกาสซักเสื้อผ้าเอาไว้ โดยข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น ก็ยังคงเก็บไว้ในลังและกระเป๋าเดินทางไว้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมไว้อยู่เสมอ แต่พอได้กลับเข้ามาบ้านก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะต้องจากบ้านไปอยู่ศูนย์พักพิงไม่น้อยกว่า 20 วัน โดยในช่วงวันสองวันแรกๆ ที่เดินทางกลับเข้ามาบ้าน ก็ยังคงระแวงอยู่เช่นกัน และได้หลับทั้งระแวง ไม่รู้ว่าได้นอนหลับไปตอนไหน เพราะมีกระแสข่าวว่าทางฝ่ายกัมพูชาได้มีการเพิ่มเติมกำลังทหารและอาวุธขึ้นอีก หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มีสถานการณ์สู้รบเกิดขึ้นอีก โดยมองว่าหลังการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง 72 นี้ ก็ยังไม่มีความมั่นใจหรือไว้ใจในสถานการณ์ เพราะฝ่ายกัมพูชาไม่เคยปฏิบัติตามข้อตกลงในการเจราจาใดๆ เลย และหากพบว่ามีสถานการณ์เกิดขึ้นอีก ก็อยากให้รัฐบาลและทหารดำเนินการให้เด็ดขาดมากกว่านี้ และไม่ต้องเจรจากันอีกแล้ว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สมัคร60พรรค5พันคน ‘อดีตส้มเทา’นอนคุก!
“นายกฯ” อวยพรปีใหม่ ขอคนไทยมีความสุข ขอพระบารมี "ในหลวง-พระราชินี"
ร่วมแรงใจเหนียวแน่น ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่2569
"ในหลวง-พระราชินี" พระราชทานบัตรอวยพรปีใหม่ 2569 แก่ปวงชนชาวไทย
พระราชทานพรปีม้า เรี่ยวแรงดีสุขกายใจ
"กรมสมเด็จพระเทพฯ" อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงบาตรเนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2569
พ้น72ชม.ไม่วางใจ สั่งปีใหม่คุมเข้มชายแดน เขมรยังปล่อยโดรนป่วน
ครบกำหนดหยุดยิง ไร้ปะทะ แต่กัมพูชาส่งกำลังบำรุง-ปล่อยโดรนตลอดแนวชายแดน ละเมิดข้อตกลง
เศรษฐกิจโต2.2% ธปท.-ปปง.ตั้งทีม สอบธุรกรรมทอง
"แบงก์ชาติ" เคาะจีดีพีปี 68 โตแน่ 2.2% ชี้เศรษฐกิจเดือน พ.ย.ยังขยายตัว
ขยี้ส้มมีเทาผิดซ้ำแค่ขอโทษ
“นายกฯ” อวยพรปีใหม่คนไทย ขอทุกข์โศก-เคราะห์หมดไปปีนี้ เขินโดนถามปี 2569

