'แรมโบ้' ฟาดปาก 'ทักษิณ' รักประชาชน ประเทศชาติ ไม่จริงพูดเท้าความอดีตปั่นกระแสร้างความแตกแยก เรื่องที่พูดในอดีตเหมือนคนแก่ที่เลอะเลือนสมองกลับไปเป็นเด็กน้อยรำพึงรำพรรณพร่ำเพ้อไร้สาระ พูดแต่เรื่องอดีตที่ไม่มีมูลความจริง
25 พ.ค.2565 - นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีทุจริตไปอยู่ต่างประเทศ กล่าวในรายการ CareTalk X Clubhouse หัวข้อ "เปิดใจที่นี่ เบื้องหลังรัฐประหารที่ไม่เคยเล่า” โดยนายทักษิณ ได้พูดถึงกรณี เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกหลายกรณีที่มีการพาดพิง บุคคลอีกหลายคนนั้น
นายเสกสกล กล่าวว่านายทักษิณ จำได้ทุกเรื่อง แต่ทำไมถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยทำร้ายประเทศไทยไว้อย่างไร และสาเหตุใดถึงเกิดการรัฐประหารในปี 2549 ยุคนั้นรัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ นายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีปล่อยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน มากมายโครงการต่างๆของรัฐบาลก็ล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์ต่อครอบครัว และ พวกพ้อง เกิดความเสียหายในวงกว้าง สุดท้ายทหารก็ต้องทำรัฐประหาร และตัวนายทักษิณเอง ก็มีคดีติดตัวล้วนแล้วแต่เป็นคดีทุจริตคอร์รัปชันทั้งสิ้น
"เวลาพูดเรื่องรัฐประหาร ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่นายทักษิณ จะกล้าพูดถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าตัวเองโดนรัฐประหารเป็นเพราะอะไร ซึ่งการเปิดใจของนายทักษิณที่บอกว่าไม่เคยพูด ก็ควรพูดให้หมด ถึงสาเหตุที่ทหารต้องทำรัฐประหาร คนรุ่นใหม่ จะได้ทราบ ไม่ใช่เอาแต่ดีใส่ตัวโยนความชั่วใส่คนอื่น"
นายเสกสกล กล่าวต่อว่าส่วนเรื่องที่นายทักษิณจะออกกฎหมาย หากมีอำนาจในอนาคต เรื่องการรัฐประหาร อันนี้ก็เป็นแผ่นเสียงตกร่อง เพราะนายทักษิณไม่ทราบหรือว่าการรัฐประหาร ถ้าทำสำเร็จกลายเป็น รัฏฐาธิปัตย์ ศาลฎีกามีคำพิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่าไม่มีความผิด แต่ถ้ารัฐประหารแล้วแพ้หรือไม่สำเร็จก็กลายเป็นกบฏมีโทษประหารชีวิตอยู่แล้ว
"จะออกมาข่มขู่ เรื่องโทษประหารชีวิต วันนี้นายทักษิณ เอาตัวเองให้รอดเสียก่อน เพราะมีคดีความติดตัวเต็มไปหมด ที่พยายามอยู่ทุกวันนี้ก็พยายามล้างผิดให้ตัวเองใช่หรือไม่ จนถึงกับต้องเอาชีวิตของลูกสาวตัวเอง ออกมาเป็นเดิมพันเล่นการเมือง เพื่อพาตัวเองกลับประเทศ เป็นพ่อประเภทไหนก็ไม่ทราบ กล้าแม้แต่จะเอาชีวิตของลูกสาวตัวเองมาเป็นเดิมพันในวังวนการเมือง เพื่อให้ตัวเองนั้นได้ประโยชน์ รักลูกไม่จริงหวังทำลายอนาคตลูกมากกว่า ใช้ลูกเป็นเครื่องมือ รักลูกแบบไหนกัน นายทักษิณเองก็รักประชาชน รักประเทศชาติไม่จริง มีแต่พูดย้อนอดีตสร้างความแตกแยกในบ้านเมือง
ที่พร่ำเพ้ออยู่รายวันเพราะแก่ลงไปเรื่อยๆสติสตังคงเลอะเลือนลงไปทุกวัน เห็นพร่ำเพ้อแต่เรื่องในอดีตที่ไม่มีมูลความจริงสักเรื่อง คนแก่ที่ชอบพูดเรื่องราวในอดีตอย่างนายทักษิณมีคนเขากล่าวว่า สมองจะกลับไปเป็นเด็กอนุบาล พออายุมากขึ้นเรื่อยๆร่างกายแก่ลงไปทุกๆวันก็เริ่มเล่นอุจจาระตัวเองแล้วแหละครับ" นายเสกสกล กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อดิศร' ซัดแรงมีรัฐสภาไปทำพระแสงอะไร จะแก้รัฐธรรมนูญ ยังให้ศาลวินิจฉัยอำนาจประชาชน
นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า อำนาจตุลาการ และอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร แยกกันและถ่วงดุลกัน ไม่ใช่คล่อมเลน มีบางครั้งจะยื่นญัตติได้ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นฝ่ายตุลาการ แต่เราฝ่ายนิติบัญญัติ เราคิดของเราเองได้
คำพิพากษาที่งดงาม ศาลอาญายกฟ้องพันธมิตรฯชุด 2 คดีปิดสนามบิน
ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบ พธม.บุกสนามบินดอนเมือง หมายเลขดำ อ.1087 /56 ที่พนักงาน
'โรม' ตั้งกระทู้ถาม 'ทักษิณ' ป่วยทิพย์
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รม
กกต.ป้ายแดง ไม่กดดันพิจารณาคดีร้อนยุบพรรค
นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้ารับตำแหน่งกกต. ว่า ก่อนหน้านี้กกต.ทำงานได้ดีอยู่แล้ว แต่ถ้ามองจากข้างนอกก็มีอุปสรรคปัญหาที่สะท้อนกลับมาในบางเรื่อง ซึ่งเป็นภาพรวมที่ว่ากกต.ทำอะไรกันอยู่ กกต.ทำอะไรถึงไหนแล้ว พอตนเข้ามานั่งอยู่ในตำแหน่งกกต. สิ่งหนึ่งที่อยากพัฒนาก็คือความสามารถ
เดือด! โฆษกพรรคหญิงหน่อยจี้ 'สุภาพร' ลาออกหลังโผล่ไปรับทักษิณ
'ภัชริ' ซัด 'สุภาพร' ไม่มีความละอาย ไม่สำนึกถึงสิ่งที่ได้สัญญากับประชาชน โผล่ถ่ายรูป 'ทักษิณ' ทั้งที่ยังสังกัด ไทยสร้างไทย ลั่นพฤติกรรมเป็นงูเห่าชัดตั้งแต่ต้น จี้ลาออกหลังพรรคให้โอกาสแต่ไม่สำนึก
ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 16: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ในสายตาผู้ช่วยทูตทหารฝรั่งเศส)
(ต่อจากตอนที่แล้ว) ในรายงานลงวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) ของพันโท อองรี รูซ์ ผู้ช่วยทูตทหารบกและทหารเรือประจำสยาม ประจำสถานอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยาม มีความว่า