ดร.อาทิตย์ สิ้นหวัง! เลือกตั้งใต้ร่มเงาประชาธิปไตยสามานย์ ปลุกปชช.รวมเป็นหนึ่งปฏิรูปประเทศ

6 พ.ค. 2566 - สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) จัดเสวนาวาระประเทศไทย ไปให้ไกลกว่าเลือกตั้ง ที่ห้องจูปิเตอร์ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร โดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตประเทศไทยในบริบทโลก” มีเนื้อหาดังนี้

ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน

ผมมีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญมากล่าวปาฐกถาเปิดการเสวนา “วาระประเทศไทย ไปให้ไกลกว่าเลือกตั้ง” ในวันนี้

ผมเชื่อว่าทุกท่านที่มาร่วมพบปะพูดคุย สนทนากันในวันนี้ มีความห่วงใยอนาคตของประเทศชาติ และติดตามสถานการณ์บ้านเมืองด้วยความกังวลใจไม่ต่างไปจากตัวผม

ถึงปัจจุบันผมจะไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง แต่ผมยังติดตามข่าวสารและเหตุการณ์บ้านเมืองโดยตลอด ติดตามด้วยความห่วงใย ด้วยความหวังอยากเห็นประเทศชาติบ้านเมืองก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดี กินดี มีสุข คนในชาติสมัครสมานสามัคคี ไม่แตกแยกกัน

ตลอดหลายสิบปีที่ผมอยู่ในแวดวงการเมือง ทั้งในฐานะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้บริหารพรรคการเมือง ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศชาติมาหลายยุคหลายสมัย ผ่านวิกฤตการณ์ ประสบด้วยตัวเองมาก็หลายครั้ง

แต่ไม่มีครั้งไหนจะสิ้นหวัง มืดมิด ไร้แสงสว่าง ไร้หนทาง เท่ากับวิกฤตการณ์ของชาติที่พวกเราคนไทยต่างประสบกันอยู่ในครั้งนี้

ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า “การเมือง” เป็นสิ่งดีงามและจำเป็นต่อสังคม คนที่เข้ามาสู่การเมืองก็ต้องทำทุกอย่างทุกวิถีทาง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและประชาชน ถ้าต้องการเห็นบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง และประชาชนมีชีวิตที่ดีงาม การเมืองต้องดีงามด้วยเช่นกัน

แต่การเมืองที่เราเห็นกันในวันนี้ เป็น “การเมืองสามานย์” ระบบการเมืองล้มเหลวในทุกระดับ ขาดจิตสำนึกที่ดีและขาดความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง

การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร อย่างที่เราเห็นกัน ก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนหรือประเทศชาติบ้านเมือง แต่กลับใช้การอภิปรายเป็นเวทีต่อรองราคา ต่อรองตำแหน่ง ต่อรองอำนาจผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง จนกลายเป็นเทศกาลแจกกล้วย มีคนแจก มีคนรับ ทำกันมาหลายปีแล้ว

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ก็ทำกันเหมือนเด็กเล่นขายของ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จากบัตรใบเดียวมาเป็นบัตรสองใบ พอข้ามวัน อยากจะเปลี่ยนกลับมาเป็นบัตรใบเดียวอีกแล้ว เหมือนกับเรื่องสูตรการคำนวณ สส. ซึ่งไม่ว่าจะใช้สูตรหาร 100 หรือหาร 500 ผลที่ออกมาก็อย่างที่เห็นกันตอนนี้ ประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เป็นเรื่องของนักการเมือง ชิงไหวชิงพริบเพื่อเอาชนะกันในการเลือกตั้ง แย่งชิงอำนาจกันเองทั้งสิ้น

การยุบสภาฯ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง เพราะถ้าปล่อยให้สภาฯ อยู่จนครบวาระ 4 ปี สส.ที่เป็นเป้าหมายจะดึงเข้าพรรค ก็จะย้ายเข้ามาไม่ได้ เพราะกฎหมายบังคับว่าจะต้องเป็นสมาชิกของพรรคก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 90 วัน ถึงจะสมัคร สส.ได้ เพราะฉะนั้น ที่ไปดึงเอา สส.จากพรรคอื่นมาล่วงหน้าไว้แล้ว ก็จะสูญเปล่า จะขาดคุณสมบัติผู้สมัคร แต่ถ้ายุบสภาฯ ก็นับเวลาเป็นสมาชิกพรรคแค่ 30 วันก็สมัคร สส.ได้แล้ว ทุกอย่างวางแผนไว้เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องทั้งสิ้น

แบบนี้ต้องเรียกว่า เป็น “ประชาธิปไตยสามานย์” “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างที่พวกเราต้องการ ซึ่งอำนาจการบริหารบ้านเมืองเป็นของปวงชน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ทุกท่านครับ

“ประชาธิปไตยของไทย” ล้มเหลวมาโดยตลอด ตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงระดับท้องถิ่น แทนที่จะช่วยสร้างความเจริญรุ่งเรือง แต่กลับใช้เป็นช่องทางแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ เป็นเหตุให้ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคมขยายตัวมากขึ้น คนไทยจำนวนมากยังใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หาเช้ากินค่ำ และมีแต่จะยากจนลงไปอีก แต่คนร่ำรวย มหาเศรษฐี ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย กลับครอบครองทรัพย์สินจำนวนมาก

กลุ่มทุนใหญ่และทุนต่างชาติก็มีอำนาจเหนือตลาด ผูกขาดและใช้อิทธิพลครอบงำระบบเศรษฐกิจของประเทศ ยังมีวิกฤตการณ์ โควิด-19 ที่ซ้ำเติมความลำบากยากแค้นของประชาชนคนไทย ในขณะที่กระบวนการยุติธรรมก็ขาดความน่าเชื่อถือ การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่เป็นธรรม ไม่ได้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ วิกฤตการณ์ทางการเมืองตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีสัญญาณว่าจะจบลงได้อย่างไรและด้วยวิธีใด ยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งเสื้อแบ่งสี แบ่งแยกประชาชน จนกลายเป็นความแตกแยกของคนในชาติ คนไทยเข่นฆ่ากันเอง สังคมสิ้นหวังและหมดศรัทธากับระบบและโครงสร้างทางการเมือง ซึ่งไม่ตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชน รวมถึงการทุจริตที่ฝังลึกในระบบการเมืองและระบบราชการจนยากจะแก้ไข และนับวันจะยิ่งโกงกินกันมากขึ้นจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันไปแล้ว
การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นต้นทางของประชาธิปไตย อย่างที่ทุกท่านทราบกัน ก็ได้แปรสภาพเป็นการประมูลประเทศ มีการเขียน TOR ล็อคสเปคเพื่อให้มีการฮั้วประมูล กำหนดกฎเกณฑ์กติกาเลือกตั้งที่ขัดกับหลักการพื้นฐานสำคัญของการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง ทั้งในหลักการ One Man One Vote และการเลือกตั้งต้อง

FREE อิสระเสรี

FAIR เป็นธรรม

และ REPRESENTATIVE สะท้อนสิทธิของประชาชนทุกคน ไม่มีคะแนนต้องสูญเปล่าทิ้งน้ำ ซึ่งในกติกาการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการมีตัวแทนในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันมาโดยตลอด จนกลายเป็นเรื่องปกติ

กลยุทธ์ที่ทุกพรรคการเมืองใช้เงินเป็นนโยบายหาเสียง สัญญาว่าจะให้ ไม่ว่าจะเป็นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆมา ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ หรือแม้กระทั่งในอนาคต ก็เป็นการซื้อสิทธิ์ขายเสียงด้วยกันทั้งสิ้น ถือเป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย และจะทำลายประเทศชาติบ้านเมืองของพวกเราในที่สุด

การเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ก็คาดการณ์ได้ว่า คงไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา ทราบมาว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ มีการลงทุนใช้เงินกันมหาศาล เพราะต่างฝ่ายต่างต้องแย่งชิงอำนาจกันเพื่อเป็นรัฐบาล เรียกได้ว่า แพ้ไม่ได้ ยอมกันไม่ได้

อย่างนี้ไม่ใช่ ประชาธิปไตย แต่เป็น “ธนาธิปไตย” หรือประชาธิปไตยสามานย์ ที่เงินกลายเป็นปัจจัยหลักในการเข้าสู่อำนาจรัฐ การเมืองจึงแปลงสภาพเป็น Money Politics คนที่มีอำนาจเงินจึงเป็นใหญ่ อยู่เหนืออำนาจของประชาชน

ด้วยเหตุนี้ การเมืองไทยจึงกลายเป็นธุรกิจการเมือง ที่กลุ่มทุนเข้ามาลงทุนเพื่อหวังเอาทุนคืน แสวงหาอำนาจ เอาผลกำไร จนเกิดการทุจริตคอร์รัปชันกันอย่างมโหฬาร ระบบตรวจสอบและระบบคานอำนาจอ่อนแอ ฝ่ายค้านและภาคประชาชนอ่อนแอ จนเป็นที่มาของเผด็จการรัฐสภา แล้วก็จบลงด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจ กลายเป็นเผด็จการคณะใหม่ แล้วก็มาแสวงหาอำนาจหาผลประโยชน์ไม่ต่างกัน เป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

แล้วทำไม พวกเราประชาชนไทยซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย จึงได้วางเฉย ยอมรับ และยอมให้นักการเมืองซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยนิด เป็นผู้คุมกลไกอำนาจรัฐและสร้างระบบสามานย์มาครอบงำประเทศชาติและประชาชนได้อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ประชาชนชาวไทยต้องกลายเป็น “ทาส” อีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” พระมหากษัตริย์ของเรา ทรงประกาศเลิกทาสไปเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว แต่ยุคนี้กลับมีนักการเมือง นายทุน มาสร้างระบบที่ทำให้ประชาชนกลับกลายเป็นทาสในรูปแบบใหม่อีกครั้ง

ทำไมเราถึงยอมตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้กันได้

ระบบสามานย์ การเมืองที่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก มีแต่ความขัดแย้งแตกแยก แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ เพื่อตนเองและพวกพ้อง อย่างที่ทำกันมาตลอดหลายสิบปีนี้ กำลังนำประเทศชาติไปสู่ความหายนะ และล่มสลายในที่สุด

เพราะฉะนั้น ทางรอดจากความหายนะของประเทศไทย มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ ต้องหลอมรวมประชาชนและต้องยึดถือผลประโยชน์ของชาติเหนือสิ่งอื่นใด

ทุกฝ่ายต้องตระหนักว่า ประเทศชาติจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยคนไทยทุกคน อยู่ร่วมกันด้วยความปรองดองอย่างสงบสุขบนผืนแผ่นดินเดียวกันนี้

ถ้าเราถอดเสื้อต่างสีออกไป ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แล้วสวมหัวใจดวงเดียวกัน ที่มีเลือดสีเดียว คือ สีเลือดรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน คนในชาติก็จะมีแต่ความสามัคคีในจิตใจเป็นที่ตั้ง ก่อให้เกิดพลังแผ่นดิน ผลักดันประเทศสู่ความสำเร็จและความมั่งคั่งของประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ในทุกภาคส่วน จึงจะเป็นการปฏิรูปประเทศที่บรรลุผลอย่างแท้จริง

ประเทศไทยต้องปฏิรูปในทุกด้าน

ต้องปฏิรูปการเมือง โดยยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ 3 ป. ซึ่งเป็นต้นตอของการสืบทอดอำนาจ แล้วสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนร่างรัฐธรรมนูญ ทำประชาพิจารณ์ จนถึงการลงประชามติประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

ต้องปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน โดยให้มี “จังหวัดจัดการตนเอง” แต่ละจังหวัดมีการจัดการในบริบทของตนเอง ไม่ใช่จัดการโดยรัฐบาลกลางทั้งหมดอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งรูปแบบการบริหารจะคล้ายกับของกรุงเทพมหานคร จังหวัดต้องมีงบประมาณของตนเองเพื่อนำมาใช้จัดการบริการสาธารณะ สาธารณูปโภคต่างๆ ไฟฟ้า น้ำประปา สาธารณสุข การศึกษา การดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ถ้าจังหวัดใดมีความพร้อม รัฐบาลก็พิจารณาอนุมัติให้เริ่มต้นเป็นจังหวัดจัดการตนเองได้เลย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดก็ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนเช่นเดียวกับของกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่มาจากระบบเจ้าขุนมูลนาย ที่แต่งตั้งโยกย้ายกันในวงอุปถัมภ์ของกระทรวงหรือนักการเมือง รูปแบบ “จังหวัดจัดการตนเอง” เช่นนี้จะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ สนับสนุนเศรษฐกิจ ภาคประชาชน และ SME ให้เข้มแข็งอย่างแท้จริง และไม่ให้กลุ่มทุนในประเทศและกลุ่มทุนข้ามชาติ มีอำนาจครอบงำกลไกตลาดและกลไกราคา และต้องบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการค้าและคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มทุนเอารัดเอาเปรียบประชาชน ในขณะเดียวกัน สัมปทานโครงการต่างๆ ของภาครัฐจะต้องไม่ใช่แหล่งเงินแหล่งทองของกลุ่มทุนกับนักการเมืองและข้าราชการ ที่สมคบกันสร้างระบบผูกขาด กลายเป็นเสือนอนกินภาษีของประชาชนอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

ต้องปฏิรูประบบยุติธรรม โดยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นธรรมและยุติธรรมกับทุกฝ่าย องค์กรยุติธรรมไม่ว่าจะเป็น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ศาล อัยการ และตำรวจ ต้องตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างที่มีการกล่าวหากันมาโดยตลอด

ต้องปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรด้านพลังงาน โดยเฉพาะทรัพยากรปิโตรเลียม ต้องสร้างระบบการจัดการของชาติที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ให้มีการแข่งขันเสรี การให้สัมปทานที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่ให้กลุ่มทุนต่างชาติหรือกลุ่มรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจผูกขาดการจัดสรรทรัพยากรด้านพลังงานของชาติ การผลิตไฟฟ้าก็ต้องไม่อยู่ใต้อาณัติของกลุ่มทุนผูกขาด ต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์ค่าไฟแพงทั้งแผ่นดิน แต่บริษัทเอกชนที่ได้สัมปทานผลิตไฟฟ้าให้รัฐกลับมีแต่ร่ำรวยขึ้นทุกวัน การปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรด้านพลังงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นทันที

ต้องปฏิรูปการต่างประเทศ โดยดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ชาญฉลาดในสถานการณ์ที่โลกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจากความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจโลกตะวันออกและมหาอำนาจโลกตะวันตก ประเทศไทยต้องไม่ใช่แค่วางตัวเป็นกลาง ที่เป็นมิตรกับทุกฝ่าย หรือไม่เป็นศัตรูกับฝ่ายใด แต่ต้องเป็นประเทศที่ทุกฝ่ายให้ความเคารพนับถือ และอยู่ในฐานะที่มี “คุณูปการ” แก่ทุกฝ่าย ประเทศไทยของเราเป็นศูนย์กลางของดินแดนสุวรรณภูมิ ที่เป็นแผ่นดินทองของเอเชีย เป็นดินแดนยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ใครได้ครองสุวรรณภูมิ ย่อมได้ครองเอเชียทั้งหมด

เพราะฉะนั้น การวางสถานะและบทบาทของชาติในสังคมโลกในยุคนี้ จึงมีความสำคัญอย่างมาก ว่าจะนำประเทศชาติไปสู่ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรือง หรือความล่มสลายและหายนะ

ทุกท่านครับ

ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องลุกขึ้นมา ร่วมกันพาบ้านเมืองผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ต้องปฏิรูปประเทศให้เป็น “สังคมธรรมาธิปไตย”

“สังคม” หมายถึง สังคมสวัสดิการ

“ธรรมะ” หมายถึง คุณธรรม ความเป็นธรรม และธรรมาภิบาล

ส่วน “ประชาธิปไตย” หมายถึง ประโยชน์สุขของประชาชน เหนือสิ่งอื่นใด

และสังคมธรรมาธิปไตยนี้ ต้องเป็นสังคมธรรมาธิปไตยที่ พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศ และเป็นศูนย์รวมใจ หนึ่งเดียวของคนในชาติ มีหน้าที่ และความรับผิดชอบดูแลความมั่นคงของชาติและความผาสุกของประชาชน และเป็นผู้นำการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน ร่วมกับประชาชนด้วยวิถีราชประชาสมาสัย ที่มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์กับประชาชน อาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างสังคมที่ดีงาม มีสันติสุข มีความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบ การบริหารบ้านเมืองต้องเป็นธรรม มีคุณธรรมจริยธรรม มีความยุติธรรม ธรรมาภิบาล ประชาชนมีความสุข มีโอกาสทัดเทียมกัน มีความสามารถในการประกอบสัมมาอาชีพอย่างมีศักดิ์ศรี เจริญรุ่งเรืองและมั่นคง ให้ประชาชนมีความสุขกันถ้วนหน้า

การปฏิรูปประเทศในทุกด้านนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งและต้องเริ่มลงมือทำทันที เพราะบริบทสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ไม่ต่างจากสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่สยามประเทศต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคมของกลุ่มประเทศมหาอำนาจ การปฏิรูปครั้งใหญ่ให้ประเทศทันสมัย และเข้มแข็งในทุกด้านจึงเป็นหนทางเดียวที่ทำให้สยามประเทศในเวลานั้น แข็งแกร่งขึ้นมา และพร้อมต้านทานการรุกรานของมหาอำนาจ ซึ่งในที่สุด เราก็อยู่รอดปลอดภัย ในขณะที่ประเทศรอบๆบ้านเรา ต้องสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจด้วยกันทั้งนั้น

สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันก็ไม่แตกต่างกัน เรากำลังเผชิญภัยคุกคามจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ

โดย ภัยจากภายนอกประเทศ มีชาติมหาอำนาจอยู่เบื้องหลัง ยุยงปลุกปั่นให้คนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เกลียดชังกันเอง เกิดความแตกแยกในสังคม และยังยุยงให้เกิดประเด็นความขัดแย้งจนกลายเป็นข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อก่อความระส่ำระสายภายในประเทศ เป้าหมายก็คือ การเข้าครอบครองและครอบงำประเทศของเราให้ตกอยู่ในอาณัติของชาติมหาอำนาจได้อย่างแนบเนียนและง่ายดาย และที่อันตรายที่สุดก็คือ เป้าหมายที่ต้องการล้มล้างสถาบันหลักของชาติ เพื่อทำลายความเป็นชาติ ความเป็นปึกแผ่นและความมั่นคงของชาติไทย

ส่วนภัยจากภายในประเทศ ก็เกิดจากความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคมที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความแตกแยกในหมู่ประชาชน ทั้งหมดนี้ได้กัดกร่อนความมั่นคงของชาติจนถึงขีดอันตรายที่อาจสูญสิ้นชาติได้หากเราทุกคนเพิกเฉย ชะตากรรมของประเทศไทยจึงอยู่ในมือของพวกเราทุกคน

ที่ผ่านมา ตัวผมเอง ได้แสดงจุดยืนมาโดยตลอดว่า การเลือกตั้งภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจ ยากที่จะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้ อย่างที่รับทราบกันว่า ผู้มีอำนาจมี “ดีลลับ” จับขั้วตั้งรัฐบาลกันไว้ล่วงหน้า ตกลงกันว่าพรรคไหนจะจัดตั้งรัฐบาลกับใคร และจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดนี้ มีแต่เรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเลย

เพราะฉะนั้น ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดของการเลือกตั้ง ในห้วงเวลาที่การเมืองมีแต่ความขัดแย้ง ความแตกแยก และทำลายล้างชาติบ้านเมืองเช่นนี้ พรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์กลางซ้าย สังคมสวัสดิการธรรมประชาธิปไตย Liberal Social Democratic ที่เชิดชู ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน และมีจุดยืนไม่สนับสนุนการผูกขาดทางเศรษฐกิจเท่านั้น ที่จะสามารถก้าวข้ามความขัดแย้งและเป็นทางรอดของประเทศชาติได้

แต่ในที่สุดแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ จะไม่ใช่การเลือกตั้งที่นำพาแสงสว่างมาสู่บ้านเมืองอย่างที่พวกเราคาดหวังกันไว้ ในทางกลับกัน อาจก่อวิกฤตซ้ำเติมวิกฤตของชาติให้หนักหนายิ่งกว่าเดิม

พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน

เราจะปล่อยให้เวลาของประเทศชาติดำเนินต่อไปตามยถากรรมเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนทุกฝ่าย จะต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แล้วเดินหน้าไปพร้อมกัน เริ่มต้นการปฏิรูปประเทศไทยให้สำเร็จอย่างที่มุ่งหวัง

ผมเชื่อมั่นว่า เวทีเสวนาในวันนี้ จะจุดประกายความหวังให้แก่ประเทศชาติบ้านเมือง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง

ขอพลังแผ่นดินจงขับเคลื่อนจิตวิญญาณรักชาติในใจของพวกเรา ให้ร่วมกันนำพา “รัฐนาวาประเทศไทย” รอดพ้นจากวิกฤตและความล่มสลาย และสร้างความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง สันติสุข ให้แก่แผ่นดินไทยอันเป็นที่รักของพวกเราได้อย่างยั่งยืนตลอดไป

ขอบคุณทุกท่านมากครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สุวัจน์' หวนคืนชื่อเดิม 'พรรคชาติพัฒนา' แต่งตั้ง สส.แจ้ เป็นรองหัวหน้าพรรค

พรรคชาติพัฒนากล้า เปิดการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2567 นำโดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า , นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ,

'ชัยเกษม' ออกตัวไม่เกี่ยวปรับครม. ผู้บริหารพรรคจะใช้ให้ทำอะไรก็ได้ สบายๆ

นายชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เดินทางมาไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ ศาลตา ศาลยาย โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า การเดินทางมาไหว้วันนี้เกี่ยวอะไรกับการปรับ ครม.หรือไม่

ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 20: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ในสายตาผู้ช่วยทูตทหารฝรั่งเศส)

(ต่อจากตอนที่แล้ว) ในรายงานลงวันที่ 24 กันยายน 1932 (พ.ศ. 2475) ของพันโท อองรี รูซ์ ผู้ช่วยทูตทหารบกและทหารเรือประจำสยาม ประจำสถานอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยาม มีความว่า

'เผ่าภูมิ' ปัดนายกฯ ส่งสัญญาณนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวได้เดินทางมารับเอกสารกรอกแบบฟอร์มตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรี เรียบร้อยแล้ว ว่า ตนไม่ให้คอมเมนท์ ยืนยันว่าขณะ

อดีตบิ๊กข่าวกรองเตือนสติ! อย่าหลับตาพูดลืมตาดูสถานการณ์โลกด้วย

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ