'อนาคตไกล' สับเละ 'ชัยธวัช-พิธา-ก้าวไกล' แถลงปิดคดีนอกศาล เรียกคะแนนสงสาร!

3 ส.ค.2567 - ที่พรรคอนาคตไกล นายภวัต เชี่ยวชาญเรือ โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวว่า ตามที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงการณ์ปิดคดีนอกศาลโดยยกข้อต่อสู้ 9 ข้อในการต่อสู้นั้น ตนเห็นว่าการต่อสู้คดีต้องแถลงการณ์ปิดคดีในศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น การนำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยโดยแถลงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยแถลงการณ์ปิดคดีนอกศาลเพื่อให้ผู้สนับสนุนคล้อยตามข้อเท็จจริง ไม่มีใครเขาทำกัน

นายภวัต กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามประชาชนที่รู้กฎหมาย เขามองว่า เป็นเรื่องตลก อ่อนหัดอ่อนกฎหมาย หากมีความเชื่อมั่นว่า ไม่ได้กระทำความผิด จะกลัวอะไร กลัวสูญเสียอำนาจมากกว่าใช่หรือไม่ หากกระทำความผิดแล้วยอมรับความเป็นจริง กลับตัวกลับใจไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับมาตรา 112 ควรให้อภัยได้ หากกระทำความผิด โทษถึงขั้นยุบพรรค เป็นการพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นมากกว่าไร้สาระ ดังจะเห็นได้จากการยกข้อต่อสู้ในข้อกฎหมายว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตนจะบอกกับพี่น้องประชาชนอีกแง่มุมหนึ่งในข้อกฎหมายว่า อำนาจในการรับคำร้องวินิจฉัยคดียุบพรรคการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณา ตาม พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 หากศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้อง เหตุใดในครั้งเมื่อยุบพรรคอนาคตใหม่ ในปี 2562 ทำไมไม่ยกข้อต่อสู้ในปัญหาข้อกฎหมาย พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 วรรคหนึ่ง อย่างไร

ส่วนการยื่นคำร้องของ กกต. เป็นไปตามมาตรา 92 กฎหมายพรรคการเมือง ฝ่ายผู้ร้อง หากนายทะเบียน กกต.เห็นว่า มีเหตุอันควรเชื่อว่า มีพยานหลักฐานเป็นกระทำการล้มล้างการปกครองหรือกระทำปฏิปักษ์การปกครอง ย่อมไม่จำต้องไต่สวน สามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้เลย เหมือนกับข้อเท็จจริงในการยุบพรรคไทยรักษาชาติ เป็นบรรทัดฐาน โดยไม่จำต้องไต่สวนคำร้องอีก แตกต่างการยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ศาลยกคำร้อง ข้อเท็จจริงคนละกรณีกัน เพราะเหตุในการยุบพรรค เกิดจากการกระทำโดยตรงของพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และสมาชิกพรรคหรือผู้สนับสนุนในการรณรงค์หาเสียงแก้ไข ปอ.มาตรา 112 ในครั้งการหาเสียงการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่พอต่อสู้กลับอ้างว่าบุคคลที่กระทำไม่ใช่มติพรรค พรรคไม่มีส่วนรู้เห็น

"ถามว่า นายพิธา เป็นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น อยู่ในที่เกิดเหตุ จะไม่รู้เห็นได้อย่างไร ตลกแล้ว ทั้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 เป็นบรรทัดฐานและคำวินิจฉัยเป็นที่สุด เด็ดขาดและผูกพันทุกองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคท้าย ควรไปศึกษาข้อกฎหมายให้ถ่องแท้ มาแถลงการณ์ปิดคดีนอกศาล นักกฎหมายที่เขารู้ เขาหัวเราะเอาได้ ในเมื่อนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล นำข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมาแถลงให้สาธารณะรับรู้ ย่อมไม่ผูกพันศาลเพราะข้อเท็จจริงนอกสำนวน ตนย่อมสามารถชี้แจ้งข้อเท็จจริงและในแง่มุม ข้อกฎหมายที่ถูกต้องให้ประชาชนรับรู้ได้เช่นกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องสำนวนที่ศาลกำลังพิจารณาและไม่ชี้นำศาลหรือไปกระทำละเมิดอำนาจศาล แต่การแถลงปิดคดีนอกศาลของพรรคก้าวไกล กลับมาเปิดเผยให้ประชาชนทราบ ไม่กระทำเป็นความลับในสำนวนหรือนำข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเข้าสู่สำนวนและไปสู้คดีในศาลรัฐธรรมนูญ หากเป็นข้อเท็จจริงในสำนวน ย่อมไม่ใช่ข้อเท็จจริงใหม่ และไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ตนมองว่า พยานหลักฐานและข้อต่อสู้ ลอยๆ ย่อมไม่สามารถหักล้างกับข้อเท็จจริงในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 ได้"

โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวอีกว่า ส่วนที่พรรคก้าวไกล อ้างเหตุว่า ไม่ควรยุบพรรค ก้าวไกลก็ดี ศาลไม่มีอำนาจกำหนดระยะเวลาในการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง กก.บห.ก็ดี หรือกำหนดระยะเวลาในการเพิกถอนสิทธิต้องพอสมควรแก่เหตุก็ดี หรือต้องเพิกถอนเฉพาะ กก.บห.ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดก็ดี ถือว่าเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาล เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เพราะการพิจารณาของศาลย่อมพิจารณาจากบทลงโทษได้อยู่แล้ว เพราะเป็นอำนาจ ดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ การตีโพยตีพาย เหมือนเด็กอนุบาลร้องถูกรังแก แต่เป็นฝ่ายกระทำตนเอง ไม่มีใครเขาใช้ให้กระทำ ถามว่า ประชาชนเขาจะสงสาร หรือน่าสมเพช กันแน่ แต่ประชาชนทางบ้านเขาบอกว่า ดิ้นเหมือนไส้เดือนถูกน้ำร้อน น่าสมเพชมากกว่า ข้อหักล้างที่แถลงการณ์ปิดคดีนอกศาล ในคดีที่ศาลพิจารณา แต่นำข้อแถลงสู้คดีมาเปิดเผยนอกศาล ส่วนใหญ่เขาไม่กระทำกันเพราะต้องกระทำในทางลับ ไม่เปิดเผยเป็นการทั่วไป ต้องถามพี่น้องประชาชนว่า แกนนำพรรคก้าวไกลที่นำมาแถลงต่อสาธารณะเจตนาเขาต้องการอะไรกันแน่ ความยุติธรรมหรือเป็นเพียงการกดดันศาลรัฐธรรมนูญกันแน่

"ผมเห็นว่า ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนในหลักการแบ่งแยกอำนาจ ศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมให้โอกาสคู่ความทุกฝ่าย ต่อสู้คดีได้เต็มที่ ดังจะเห็นได้จากการอ้างพยานเอกสารและพยานบุคคลเพื่อหักล้างในคดีของพรรคก้าวไกล แต่ละครั้งที่ปล่อยข่าวให้ประชาชนรับทราบ ขอให้พี่น้องประชาชนที่ติดตามข่าวสารการยุบพรรคในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ขอให้มีสติ อยู่ในที่ตั้ง รับฟังข่าวสารอย่างใจเป็นธรรม เพราะประเทศไทยปกครองในระบบนิติรัฐ ไม่มีใครไปกลั่นแกล้งใครได้ พี่น้องประชาชนทางบ้านเขารู้ทันมุกของพรรคการเมืองนี้ ฝากมาบอกแกนนำพรรคก้าวไกลว่า หมดมุกหรือยัง อย่าไปกดดันศาล เสี่ยงละเมิดอำนาจศาล อย่าใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเลย พรรคการเมืองไม่ได้มีเพียงพรรคการเมืองเดียวในประเทศไทย" โฆษกพรรคอนาคตไกล กว่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มติเอกฉันท์! ศาลรธน. ตีตก 7 คำร้อง ขอให้วินิจฉัยเลือก สว. ไม่ชอบ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับ 7 คำร้องที่มีการร้องขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ประกอบด้วยคำร้องของนายสมบูรณ์ ทองบุราณ,นายวัฒนา ชมเชย ,ว่าที่ร.ต.วิชชุกร คำจันทร์ นายจิรัฎฐ์ แจ่มสว่าง,นายปรีชา เดชาเลิศ,นางฤติมา กันใจมา,

'สนธิญา' ยื่นหลักฐานเพิ่ม ร้องศาลรธน. สั่ง 'อิ๊งค์' หยุดปฏิบัติหน้าที่ แจกเงินหมื่นไม่ตรงปก

นายสนธิญา สวัสดี นำเอกสารหลักฐานไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยรัฐบาลดำเนินโครงการแจกเงินหมื่นแตกต่างจากนโยบายดิจิตอลวอลเล็ต 10,000 บาท

ค้าน ‘VAT’15% ‘พิธา’ สอน ‘อิ๊งค์’ ต้องปฏิรูปภาษี

"พิธา" แนะรัฐบาลปฏิรูปภาษีทั้งระบบ ดีกว่าเจาะจงที่แวต ถามตัวเลข 15% มาจากไหนไม่เข้าใจ ด้านประธานหอการค้าขอนแก่นระบุการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มควรขึ้นไม่เกิน 10%

'พิธา' แนะรัฐบาลปฏิรูปภาษีทั้งระบบ มากกว่าปรับขึ้น VAT 15% สงสัยอยู่ดีๆก็โพล่งมา

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวรัฐบาลมีแนวคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 15% ว่า ภาษีในประเทศ มีทั้งภาษีทางตรง

'พิธา' ลุยช่วยหาเสียงเลือกนายก อบจ.อุบลฯ หวังเป็นตาอยู่ ศึก 2 ขั้วใหญ่ชนกันเอง

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ลงพื้นที่ช่วยนายสิทธิพล เลาหะวนิช ผู้สมัครนายก อบจ.อุบลราชธานี

ปลุกรุมบี้ 'รัฐบาลอิ๊งค์' ส่งศาล รธน. ชี้ขาด 'MOU 44'

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ท่านที่ได้อ่านโพสต์ที่แล้วของผม คงจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาที่ไป