
22 เม.ย. 2568- นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประเทศไทย ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายสก๊อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สหรัฐ (ส่งผ่านสถานฑูตสหรัฐประจำประเทศไทย) วันที่ 22 เมษายน 2568
ข้าพเจ้าในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศไทย
ขอเรียนให้ท่านตระหนักถึงความรับผิดชอบมหาศาลของท่านในฐานะหัวหน้าทีมเจรจาของสหรัฐเรื่องภาษีนำเข้า การทำงานของท่านจะมีผลต่อทิศทางของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะของประเทศกำลังพัฒนา
ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องขอยก 4 ประเด็นที่ควรคำนึง ต่อไปนี้
หนึ่ง ท่านจะต้องคำนึงถึงบันทึกจากทำเนียบขาวฉบับลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุถึง ‘แผนการคิดภาษีโต้ตอบเพื่อให้เป็นธรรมแก่สหรัฐ’ โดย ‘แผน’ ระบุว่าทางสหรัฐจะคำนึงถึงสิ่งที่ประเทศคู่ค้าปฏิบัติใน 5 เรื่อง
(ก) ภาษีอากรขาเข้า
(ข) ภาษีอื่นรวมไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ค) การกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี
(ง) การบริหารค่าเงินที่ฝืนตลาด และ
(จ) ข้อจำกัดอื่นๆ ที่กีดกันไม่ให้สินค้าสหรัฐเข้าถึงตลาด
ดังนั้น ในการเริ่มต้นเจรจา ทีมของสหรัฐจึงมีหน้าที่พิสูจน์ก่อนว่า ข้อมูลตามที่ปรากฏในแผ่นตารางที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยกแสดงต่อสาธารณะ ในช่องที่ระบุหัวข้อว่า
“ภาษีนำเข้าที่คิดต่อสหรัฐ รวมไปถึงการบิดเบือนค่าเงินและอุปสรรคต่อการค้า” (ตัวอย่างกรณีประเทศไทยระบุตัวเลขร้อยละ 72 ทั้งที่ไทยเก็บภาษีขาเข้าเพียงประมาณร้อยละ 11) นั้น ได้คำนวนแยกตาม 5 หัวข้อที่ระบุอยู่ใน ‘แผน’ ดังกล่าว อย่างไร เท่าใด
สอง การเจรจาควรจะจำกัดวงอยู่แต่เฉพาะเรื่องการค้าแลกเปลี่ยนและภาษีอากร
ไม่สมควรจะขยายไปถึงการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์สูงสุดและความมั่นคงของแต่ละชาติ และย่อมไม่มีประเทศใดพึงจะนำมาปะปนใช้เป็นเครื่องมือเจรจาทางการค้า
สาม ท่านย่อมตระหนักดีอยู่แล้วว่าสหรัฐเกินดุลการค้าด้านบริการกับประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่แต่ละปีเป็นเงินมหาศาล
โดยสัดส่วนที่สำคัญเป็นเงินที่ประเทศเหล่านี้จ่ายให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจเกี่ยวกับอินเทอร์เนต และเนื่องจากการค้าแบบออนไลน์มีแนวโน้มจะโตขึ้นอีกมากทั้งภายในแต่ละประเทศและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในอนาคตเมื่อจะมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์กันอย่างกว้างขวางมากขึ้น รายได้ทำนองนี้ของสหรัฐจึงจะขยายตัวอีกมาก
ดังนั้น ในการเจรจาจึงจำเป็นจะต้องนำประเด็นด้านการค้าบริการมาประกอบการพิจารณาควบคู่ไปกับประเด็นด้านการค้าสินค้า
สี่ ประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะสมาชิกของอาเซียนล้วนเปิดต้อนรับการลงทุนโดยตรงในโครงการอุตสาหกรรมจากต่างชาติที่หลากหลายและเสมอภาค ซึ่งผู้ลงทุนมีทั้งชาวอเมริกัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฯลฯ
ดังนั้น ผลจากการเจรจาจึงจะต้องปฏิบัติให้เสมอภาคเท่าเทียมกันแก่ผู้ส่งออกทุกรายไม่ว่าจะเป็นการลงทุนจากชาติใดตราบใดที่ขบวนการอุตสาหกรรมมีการเพิ่มมูลค่าที่เหมาะสมในแต่ละท้องถิ่น นโยบายเช่นนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อคนอเมริกันโดยตรงเพื่อให้ยังสามารถมีสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาที่ย่อมเยา
ข้าพเจ้าขอเรียนว่า คนทั้งโลกตั้งความหวังแก่ท่านว่า การเลือกจุดสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของสหรัฐกับผลประโยชน์ของโลกจะดำเนินการอย่างสุขุมรอบคอบ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' เตือน อย่าทำตัวเป็น running dog ไทยมีอิสระในการดำเนินนโยบาย
'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' เตือน อย่าทำตัวเป็น running dog ไทยเป็นเอกราชไม่ใช่อาณานิคมมีอิสระในการดำเนินนโยบาย ไม่ต้องรายงาน-ขออนุญาตประเทศใด การระงับความตกลงกับเพื่อนบ้านเป็นสิทธิอันชอบธรรม ต้องถ่วงดุลอำนาจไม่ผูกพันฝ่ายใด
'ธีระชัย' ยกข้อเขียน 'บวรศักดิ์' นายกฯรักษาการยุบสภาฯ เป็นการตีกรอบทำให้พระมหากษัตริย์ต้องเลือก ผิดประเพณี
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความว่าอ.บว
'นักวิชาการ' ถอดบทเรียนสงครามภาษี 'อาเซียน' ไม่มีทางเลือก ต้องรวมพลังกันให้เป็นปึกแผ่น
นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความ เรื่อง อาเซียนผนึกกำลังสู้สงครามภาษี มีเนื้อหาดังนี้
นักวิชาการแนะโมเดลแก้เกมสงครามภาษี
เสนอไทยโมเดลแก้เกมสงครามภาษี เปิดตลาดสินค้าแข่งขันได้เพิ่มแลกลดภาษีเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐฯแบบมีกลยุทธ์ ลดผลกระทบเกษตรกรรายย่อยปลูกข้าวโพดและเลี้ยงปศุสัตว์ผลกระทบภาษี 36% สูงกว่าหลายประเทศในเอเชีย หวั่นกระทบการลงทุนและการย้ายฐานเพิ่มการแข่งขัน เพิ่มผลประโยชน์ผู้บริโภค มุ่งเป้าบรรเทาผลกระทบเอสเอ็มอีและแรงงาน
'ดร.ปิติ' ฟาด 'ทรัมป์' ไม่มีความจริงใจ มีเป้าหมายแอบแฝง แนะไทยแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่
รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง ว่าด้วย #สงครามการค้า สหรัฐอเมริกา มีเนื้อหาดังนี้


