คนการเมือง ร่วมรำลึก 33 ปีพฤษภาประชาธรรม

“33 ปีพฤษภาประชาธรรม” คนการเมืองรำลึก “ปธ.สภาฯ” ปลุกปชช.หวงแหนประชาธิปไตย ด้าน ผู้นำฝ่ายค้าน เตือนสติดำรงตนเพื่อผลประประโยชน์ของประชาชน ชวนขบคิดหน้าตารัฐบาล ไม่สะท้อนเสียงเลือกตั้ง 80% ไม่เอาพรรคคสช.

17 พฤษภาคม 2568 - ที่สวนสันติพร อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม มูลนิธิพฤษภาประชาธรรม จัดกิจกรรมรำลึก 33 ปีเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม โดยมีคนการเมืองร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง อาทิ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ,นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ,นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ,นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ,นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ,นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย, นายศุภชัย ใจสมุทร แกนนำพรรคภูมิใจไทย ,นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน และบรรดาญาติผู้สูญเสียจากเหตุพฤษภาคม2535โดยในช่วงเช้าเป็นพิธีกรรมทางศาสนา พร้อมวางมาลา และรัฐพิธี

นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ประธานมูลนิธิพฤกษาประชาธรรม กล่าวว่า เมื่อ 33 ปีที่แล้วได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดเกิดขึ้น เราไม่คิดว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนจะทำให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อ เราบอกว่าจากเหตุการณ์นี้กองทัพจะไม่แทรกแซงการเมือง เราควรให้พรรคการเมืองเสนอตัว และปล่อยให้ชะตากรรมของประเทศขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน

ด้านนายชัชชาติ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ตนนั่งร้องไห้กับเพื่อนที่อเมริกา ปัจจุบันนี้เราสู้กับประชาธิปไตยสีเทาๆทุกคนรู้เท่าทันเพราะฉลาดขึ้น เหตุการณ์เหล่านี้การให้ความรู้กับประชาชนและให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นสำคัญในระบอบประชาธิปไตย

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ตอนนั้นตนอายุ 48 ปีเหตุการณ์ในครั้งนั้นคล้ายกับอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือเป็นการต่อสู้โดยประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเหตุการณ์นี้มีเกี่ยวข้องกับสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด เพราะต้นเหตุมาจากการตั้งรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารมีการแสดงวิสัยทัศน์แต่ไม่จบเพราะมีผู้ไม่พอใจออกมาประท้วง เป็นความวุ่นวายในสภาฯลุกลามจนสู่การชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ที่หลายคนจำได้ในชื่อ“ม็อบมือถือ” ของคนชนชั้นกลาง เราคิดว่าการสูญเสียในครั้งนั้นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายรัฐธรรมนูญปี 40 จะดีที่สุดแต่ก็ถูกฉีก

"ดังนั้นต้องสร้างความตระหนักให้กับประชาชนว่าประชาธิปไตยเป็นของประชาชนเพื่อประชาชน ให้ประชาชนหวงแหนประชาธิปไตยเหมือนหลายๆประเทศที่เราได้เห็นถึงพลังในการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย"

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนของคนอีกหนึ่งรุ่นปฏิวัติที่ผ่านการปฏิวัติมา 3 ครั้ง ซึ่งก็ไม่เข้าใจทำไมประเทศไทยในขณะนั้นถึงต้องมีการปฏิวัติรัฐประหารอีก สิ่งที่น่ากลัวกว่าการปฏิวัติรัฐประหารคือต้นทุนของประชาธิปไตยที่เราไม่สามารถเสียไปได้อีกคือความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนต่อนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งต่อการเมืองและในระบบรัฐสภา ถ้าเมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้เลิกเชื่อมั่นศรัทธาในคำว่าประชาธิปไตยนั่นคือจุดจบของประเทศนี้ ที่เราไม่สามารถปลูกต้นไม้เพื่อประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นมาในประเทศได้อีก

"การเลือกตั้งที่ผ่านมาประชาชนกว่า 80 เปอร์เซนต์ ได้เลือกพรรคการเมืองที่ไม่ได้มาจากมรดกการรัฐประหาร ของคสช. ตนอยากชวนขบคิดถึงหน้าตาของรัฐบาลในขณะนี้ว่าตรงตามที่ประชาชนเลือกมาหรือไม่ ดังนั้นจากนี้เราทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อว่านักการเมืองสัญญาอะไรไว้ก็ต้องดำเนินการอย่างนั้น เข้าสู่อำนาจการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน นี้เป็นสิ่งสำคัญที่ตนจะให้คำมั่นสัญญา
และไม่ขอเรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้นอกจากขอให้ทุกพรรคการเมืองดำรงตนเพื่อประชาชน"

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

33ปีรัฐประหารหลอน

ตั้งวงเสวนา 33 ปีพฤษภาทมิฬ "ชัชชาติ" เผยเหตุการณ์นี้นั่งร้องไห้กับเพื่อนที่อเมริกา ปัจจุบันยังต้องสู้กับประชาธิปไตยสีเทา "เท้ง" ลั่นเป็นตัวแทนคน

'ปริญญา' เตือนสติการเมืองไทย อย่าผลักเงื่อนไขให้กองทัพยึดอำนาจอีก

“ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” ชี้ไทยยังไม่พ้นวงจรรัฐประหาร แม้ผ่านเหตุการณ์พฤษภา 35 มาแล้วถึง 33 ปี เตือนทุกฝ่ายต้องยึดกติกา-อย่าสร้างเงื่อนไขให้ทหารออกมาอีก

'ที่ปรึกษา ครป.' ชี้ไม่ปฏิรูปตำรวจ-เอาผิดรัฐประหารก็ยากแก้ไขกระบวนการยุติธรรม

ที่ปรึกษา ครป.ซัดรัฐประหาร 2 ครั้งล่าสุดทำประชาธิปไตยถอยหลังเข้าคลอง บอกตราบใดไม่มีการปฏิรูปตำรวจ ไม่มีการเอาผิดผู้ทำรัฐประหาร ก็ไม่สามารถปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมได้