ดร.ณัฏฐ์ ชี้ “รักษาราชการนายกรัฐมนตรี”มีข้อจำกัดห้ามเฉพาะโยกย้ายข้าราชการและอนุมัติงบประมาณ มีอำนาจเต็มตาม รธน. ไม่ห้าม “ยุบสภา”
2 กรกฎาคม 2568 - สืบเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง 9:0 ตามคำร้องของนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา กรณีกล่าวหา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สมาชิกภาพความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสามประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง ไว้วินิจฉัย โดยมีมติเสียงข้างมาก 7:2 สั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ส่งผลให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตาม พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ประกอบ มติคณะรัฐมนตรีและคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 320/2567 ลงวันที่ 17 กันยายน 2567 นั้น
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นด้านกฎหมายมหาชนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามที่หลายฝ่ายถกเถียงกันปมร้อนว่า ในระหว่างที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีหรือบุคคลอื่นใด สามารถยุบสภาได้หรือไม่ อย่างไร
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีบทบาทสำคัญเพื่อป้องกันสูญญกาศทางการเมืองและขับเคลื่อนในการบริหารราชการแผ่นดิน ต้องเป็นการบริหารราชการแผ่นดินอย่างต่อเนื่องและไม่ขาดตอน เหมือนในรัฐต่างประเทศ ส่วนผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มสมบูรณ์เทียบเท่านายกรัฐมนตรีตัวจริงหรือไม่ หรือว่า มีข้อจำกัดด้านใดบ้าง ต้องไปพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยยึดหลักข้อกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงมติคณะรัฐมนตรี กรณีได้แต่งตั้งให้รองนายกรัฐมนตรี กรณีที่มีรองนายกรัฐมนตรีหลายคน ให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เรียงลำดับ
ข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า ก่อนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนาม ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 320/2567เรื่องมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ฯลงวันที่ 17 กันยายน 2567 นั้น ส่วนที่ 1 คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ลำดับที่ (1) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในขณะนั้น ส่วนลำดับ (2) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม
แต่เนื่องจากมีประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 กรกาคม 2568 ให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญมาตรา 161การถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ไม่มีอำนาจในการเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งเดิม และตามคำสั่งใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีล่าสุด ดังนั้น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ลำดับที่ 2 จึงทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรีและคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 320/2567 เรื่องมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ฯ ลงวันที่ 17 กันยายน 2567 เป็นไปตาม พรบ.ระเบียบบริหารแผ่นดิน พ.ศ.2534 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
ปัญหาข้อถกเถียงกัน หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า ผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรียุบสภาไม่ได้ แต่ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลแย้งว่า รองนายกรัฐมนตรีผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มในการยุบสภาได้
กลไกรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ เฉพาะนายกรัฐมนตรีมีอำนาจยุบสภาได้ โดยการเสนอเป็นพระราชกฤษฎียุบสภา เป็นอำนาจเฉพาะนายกรัฐมนตรีโดยถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103 วรรคหนึ่งโดยพระมหากษัตริย์ทรงยับยั้งก็ได้
แต่ปัญหาว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 103 วรรคหนึ่ง ไม่ได้กำหนดไว้ให้ชัดแจ้งว่า อำนาจยุบสภาและถวายคำแนะนำ “...โดยนายกรัฐมนตรี” แต่ในระบบรัฐสภา กำหนดให้เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี เป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้น หากตีความกฎหมายในลักษณะแคบและกว้างว่า รองนายกรัฐมนตรี “ผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี” มีอำนาจเต็มในการถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ โดยตรากฎหมายเป็นพระราชกฤษฎีกายุบสภา ย่อมสามารถกระทำได้เพราะถือเป็นอำนาจทั่วไปและไม่มีข้อจำกัดไม่ว่าโดยกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรี
ปัญหาว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 103 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป” เป็นกลไกหนึ่งในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ในทางการเมืองจะยุบสภาได้ต่อเมื่อฝ่ายอำนาจรัฐได้เปรียบโดยมีคะแนนนิยมทางการเมืองสูง และชิงความได้เปรียบเพราะเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 วรรคสาม
โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ไม่มีข้อความใดบัญญัติว่า อำนาจยุบสภาเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในการถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ แต่ในระบบรัฐสภาเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร คือ “นายกรัฐมนตรี” เป็นประเพณีการปกครองในระบบรัฐสภา
แต่การทำหน้าที่ของผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็ม สมบูรณ์ตามกฎหมาย เช่น การปรับคณะรัฐมนตรี การใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ย่อมมีผลเป็นการใช้อำนาจที่สมบูรณ์ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน รวมถึง การทำหน้าที่นำคณะรัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 วรรคหนึ่ง ในวันที่ 3 กรกฏาคม 2568 นี้ด้วย ถือว่าเป็นอำนาจที่สมบูรณ์ที่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจไว้เด็ดขาด
หากพิจารณา จากมติคณะรัฐมนตรีประกอบกับคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 320/2567 เรื่องมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ฯ ฉบับลงวันที่ 17 กันยายน 2567 ได้จำกัดอำนาจเฉพาะข้อ 2 ที่ว่า “...ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน...”
หมายความว่า จำกัดเฉพาะอำนาจผู้รักษาราชการแทนเฉพาะการบริหารงานบุคคลหรือการโยกย้ายข้าราชการและการอนุมัติงบประมาณ
แต่ไม่มีข้อจำกัดข้อใดเลยว่า ห้ามใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญในอำนาจอื่นใด
บ่งบอกว่า ผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กรณีนายกรัฐมนตรีตัวจริง หากถูกศาลสั่งไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ย่อมมีอำนาจเต็มตามรัฐธรรมนูญได้ โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ รวมถึงการใช้อำนาจยุบสภา
ในทางหลักกฎหมายมหาชน ความสมบูรณ์ทางกฎหมายมหาชนตามรัฐธรรมนูญ กรณีฝ่ายบริหารในระบบรัฐสภาใช้อำนาจรัฐโดยชอบตามรัฐธรรมนูญให้อำนาจ ย่อมมีผลทางกฎหมายผูกพันรัฐ ถือว่าเป็นความสมบูรณ์ในทางกฎหมายมหาชน หากรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้ ย่อมไม่สามารถกระทำไม่ได้ มีผลไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แตกต่างจากหลักกฎหมายเอกชน ผลทางกฎหมาย ย่อมตกเป็นโมฆะ
การใช้อำนาจรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามกลไกที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ หากเห็นว่า มีเหตุจำเป็นและ อำนาจอันสมบูรณ์ และเป็นอำนาจรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีเหมือนประหนึ่งนายกรัฐมนตรีตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดก็ตาม ผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี สามารถตรากฎหมายโดยฝ่ายบริหาร ออกพระราชกฤษฎีกายุบสภา เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปใหม่ได้ โดยอาศัยกลไกรัฐธรรมนูญมาตรา 103 วรรคหนึ่ง ย่อมทูลเกล้าฯ ต่อพระมหากษัตริย์ได้ เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใดได้บัญญัติห้ามผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีไว้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันไม่มีดีลเพื่อไทยชะลอยื่นซักฟอกรัฐบาล
"อนุทิน" ลั่นเตรียมทุกอย่างให้พร้อมรอเลือกตั้ง ยังไม่บอกพร้อมจับมือหลังลต.กับพรรคใด ไม่กังวลกระแสตกห่วงแต่แก้ปัญหาน้ำท่วมได้ไม่ทันใจ
'อนุทิน' ขึงขังห้ามทำลายเกียรติภูมิ-รุกล้ำ!
นายกฯ กร้าว! ห้ามรุกล้ำ ห้ามย่ำยี ห้ามทำลายเกียรติภูมิและคนไทย ปมชายแดนบ้านหนองจาน ปัดขีดเส้นตายให้ชาวกัมพูชาต้องย้ายออกก่อนยุบสภา ย้ำความมั่นคงไม่มีกรอบกำหนด
ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม
ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง
'สุชาติ' นัดเคลียร์ 'สนธยา' แบ่งโซนส่ง 10 ผู้สมัคร สส.ชลบุรี ลั่นเขต 1 ขอลงเอง
"สุชาติ" เผยนัดคุย "สนธยา" วางตัว 10 ว่าที่ผู้สมัครสส.ชลบุรี คาดจบภายใน 1-2 วันนี้ ขอจองเขต 1 ลงเอง ส่วนภาพรวมดูความเหมาะสมใครถนัดลงเขตไหน ลั่นอยากให้ ภท. เป็นหนึ่งเดียวในชลบุรี บอกยังไม่มีสัญญาณยุบสภา
‘เทพไท’ เปิดสาเหตุ 'เพื่อไทย' ไม่กล้ายื่นซักฟอก ทั้งที่ตัวเองได้เปรียบ
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิประบุว่า
นายกฯ เมินกระแสดราม่าการเมือง ยึดถือความทุกข์ประชาชนมากกว่า
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการยุบสภาฯวันที่ 12 ธ.ค. ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ว่า เรื่องยุบสภาฯอยู่ที่สถานการณ์ทางการเมือง ทุกท่านทราบอยู่แล้วว่าสภาฯชุดนี้ไม่เกินวันที่ 31 ม.ค. 69


