'ธนกร' แนะรัฐบาล-กต. ปรับยุทธศาสตร์ทำงานเชิงรุก อย่าแก้ปัญหาวันต่อวัน หลังตอบโต้กัมพูชาช้า แนะวางแผนการทูตรวดเร็วล่วงหน้า ชี้สมรภูมิข่าวสารสำคัญไม่แพ้สนามรบ
31 ก.ค.2568 - นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า จากความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านมา 6 วันแล้วนั้น ขอสื่อสารไปถึงรัฐบาลที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องมีการทำงานอย่างมียุทธศาสตร์วางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือกับสถานการณ์ ทำงานทุกมิติแบบเชิงรุกมากขึ้น ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาวันต่อวัน จะต้องช่วงชิงความได้เปรียบทั้งการทูต การสื่อสารต่อประชาคมโลกและสื่อสารต่อประชาชนให้รวดเร็ว ชัดเจน โดยเฉพาะการชี้ให้เห็นถึงการละเมิดของกัมพูชา การกล่าวอ้างด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง โดยต้องเร่งชี้แจงข้อเท็จจริง ตอบโต้หลังกองทัพกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างร้ายแรงถึง 2 ครั้ง พร้อมทั้งต้องเร่งส่งหลักฐานไปฟ้องประชาคมระหว่างประเทศให้ทั่วโลกได้รู้ถึงพฤติกรรมของกัมพูชาโดยทันทีอย่างเต็มที่กว่านี้
นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้เหตุปะทะที่ผ่านมา 6 วันแล้ว แม้รัฐบาลไทยจะมีศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)เพื่อชี้แจงและแถลงข่าวก็ตาม แต่ยังไม่ทันต่อสถานการณ์ที่มีความเคลื่อนไหวตลอด ซึ่งศบ.ทก.มีการแถลงข่าวหลังการประชุมเท่านั้น ตนเห็นว่าควรมีการอัพเดทสถานการณ์ทุกช่วงตลอดทั้งวัน เช่นเดียวกับกองทัพบก ที่มีการสื่อสารสถานการณ์ทุกช่วงตลอดทั้งวัน ขอให้ศบ.ทก.เป็นศูนย์กลางการสื่อสารของทุกหน่วยงานของประเทศไทย ทั้งข้อมูลจากพื้นที่ปะทะของกองทัพไทย การรายงานสถานการณ์พี่น้องประชาชนจากแต่ละจังหวัดของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงชี้แจงความคืบหน้าทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศ สำคัญอย่างยิ่งคือการบูรณาการศูนย์ศบ.ทก.ให้ทำงานเชิงรุกสื่อสารออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“ต้องยอมรับว่าการสื่อสารของรัฐบาลยังมีความล่าช้า เป็นการแก้ปัญหาวันต่อวันซึ่งไม่ทันต่อสถานการณ์ ควรต้องบูรณาการการทำงานเชิงรุกให้มีประสิทธิภาพกว่านี้ โดยเฉพาะการวางยุทธศาสตร์ทางการทูต จากหลายกรณีที่ผ่านมา เช่นการไปเจรจากับกัมพูชาต่อหน้าประธานอาเซียนผู้แทนสหรัฐอเมริกา และผู้แทนจากจีน ที่ประเทศมาเลเซียที่ผ่านมานั้น การชี้แจงคำแถลงของนายภูมิธรรมยังกล่าวถึงเหตุการณ์และการละเมิดของกองทัพกัมพูชาที่ยังไม่ชัดเจน หลังจากการเจรจาหยุดยิงกัมพูชายังมีการละเมิด การแถลงประณามกัมพูชาเป็นไปอย่างล่าช้า ทางกัมพูชาออกมาประณามไทยก่อนทั้งที่ไม่ใช่ความจริง รวมถึงการเชิญทูตไปสังเกตการณ์ในพื้นที่ปะทะก็ช้ากว่ากัมพูชาด้วย ทั้งนี้รวมถึง ประสิทธิภาพการสื่อสารของทีมโฆษกรัฐบาล ยังต้องปรับปรุงในหลายเรื่อง ตนจึงขอฝากรัฐบาลทั้งองคาพยพ ให้มีการทำงานแบบเชิงรุกเพื่อเป็นตัวแทนประชาชนตอบโต้กัมพูชาและแถลงถึงการละเมิดทั้งหมดต่อนานาประเทศอย่างรวดเร็ว เพราะสมรภูมิข่าวสารสำคัญไม่แพ้สนามรบ“ นายธนกร ระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ก.ต่างประเทศ แข็งกร้าว! เปิด 5 ประเด็นหลัก ไทยชี้แจงคณะทูต กัมพูชาเหยียบย่ำข้อตกลงสันติภาพ
ก.ต่างประเทศ กร้าว! ไทยหมดความอดทนต่อกัมพูชา เหยียบย้ำข้อตกลงสันติภาพ ยัน เดินปฏิบัติการทางทหารจนกว่าจะเปลี่ยนจุดยืน เผย 'กต.' เชิญเอกอัครราชทูตมาเลเซีย-อุปทูตสหรัฐฯ พร้อมทำหนังสือแจ้ง UN มั่นใจ
ศาลรธน.ยังไม่นัดวินิจฉัยสถานะ 'ภูมิธรรม-ทวี' ปมแทรกแซงคดีฮั้วสว. รอความเห็นพยาน
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42
'ณัฐพงษ์' กระทุ้งรัฐบาลเปิด 3 แนวรบ ปิดฉาก 'ระบอบฮุนเซน'
'ณัฐพงษ์' กระทุ้งรัฐบาล Endgame 'ระบอบฮุน เซน' แนะต้องเปิด 3 แนวรบ จบปัญหาถาวร ชายแดนไทย-กัมพูชา
เปิดถ้อยแถลง 'สีหศักดิ์' กลางวงประชุมรัฐภาคีอนุสัญญา ห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22
กระทรวงการต่างประเทศ เผยแพร่คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ ถ้อยแถลงโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22
ไทยตอกหน้าเขมร กลางวงประชุมเจนีวา ขอ 'เลขาUN' ตั้งผู้ตรวจสอบอิสระ พิสูจน์ทุ่นระเบิดชายแดน
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลงในวาระการพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 ณ นครเจนีวา
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศย้ำเจตนารมณ์ของไทยในการส่งเสริม ความร่วมมือภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใสในงานพบหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่จังหวัดเชียงราย
นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมเปิดงานพบหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อน ความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมา

