
14 ต.ค.2568- ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระเรื่องด่วน พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช …. ที่เสนอโดย 3 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในการประชุม
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายในฐานะผู้เสนอร่างของพรรคประชาชน ระบุว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนเองลุกขึ้นมาอภิปรายว่า เหตุใดถึงต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา องค์ประกอบของรัฐสภาแตกต่างจากวันก่อน ๆ รัฐสภามี สส. พรรคร่วมฝ่ายค้านที่สามารถผลักดันรัฐธรรมนูญได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงใจใครเหมือนกับสมัยตอนเป็นรัฐบาล รัฐสภามี สส.และรัฐบาลที่รู้ดีว่าความอยู่รอดของรัฐบาลขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลักดันวาระเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ รัฐสภามี สว. ที่ได้รับความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญแล้วว่าสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้โดยไม่ต้องทำประชามติมาก่อน
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ มีรายละเอียดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คำถามเดียวที่รัฐสภาต้องร่วมกันพิจารณาและกำหนดคำตอบผ่านการลงมติคือ “รัฐสภาเห็นด้วยหรือไม่ กับการเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เป็นหลักการที่เขียนไว้เหมือนกันทั้ง 3 ร่าง โดยรัฐสภาชุดที่แล้วมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมา มีตัวแทนจากทุกพรรคการเมืองร่วมกันศึกษาปัญหาของ 200 กว่ามาตราในรัฐธรรมนูญ และจัดทำรายงาน 600 กว่าหน้า ซึ่งมีข้อสรุปตรงกันว่าประเทศเราควรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ในการเลือกตั้ง ปี 2566 พบว่า 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ของประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งกาให้กับพรรคการเมืองที่สนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตนเองยอมรับว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมาบทสนทนาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญถูกดึงไปพูดเรื่องเทคนิคเยอะ จะทำประชามติกี่ครั้ง จะตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าอย่างไร
นายพริษฐ์ กล่าวว่าหลักการและเหตุผลในการเสนอร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน เพราะฉบับปัจจุบันมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เชื่อมโยงกับคณะรัฐประหาร ถูกรับรองโดยกระบวนการประชามติที่ไม่เสรีและเป็นธรรม มีบทบัญญัติหลายประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติม โดยแก้ไขมาตรา 156 ของรัฐธรรมนูญ และเพิ่มเติมหมวด 15/1 เพื่อให้รัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วยกลไกที่มีความยืดหยุ่นกับประชาชน และประชาชนมีส่วนร่วม
ท่านใดก็ตามที่ถามว่า แก้รัฐธรรมนูญแล้วประเทศจะได้อะไร อยากชวนมองในมุมกลับพอไม่แก้รัฐธรรมนูญแล้วประเทศนี้สูญเสียอะไร เรามี สตง.ที่ถล่มลงมาเมื่อ 6 เดือนกว่า แต่วันนี้ไม่มีหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ เรามี กกต. ที่เอาผิดใครไม่ค่อยจะได้เสมือนว่าประเทศนี้ไม่มีการทุจริตเลือกตั้งและการซื้อเสียง เรามี ป.ป.ช.ที่ถูกตั้งคำถามว่ายืนอยู่ตรงกับความโปร่งใส เช่น กรณีแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน เรามีพรรคการเมืองที่ถูกยุบจากการเสนอร่างกฎหมาย มีนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิตจากการโพสต์ข้อความในสมัยเรียน เรามี สส. ที่ป้ายชื่อเขียนพรรคหนึ่ง แต่ในใจอาจจะเป็นอีกพรรคหนึ่ง เงินในบัญชีก็อาจจะมาอีกพรรคหนึ่ง เรามี สว.ที่โชคดีที่สุดในโลกแพ็คกันเข้ามาได้ แม้โอกาสนั้นจะน้อยกว่าการถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง 70 ครั้งติดต่อกัน เรามีท้องถิ่นที่มีอำนาจและงบประมาณจำกัด เรามีเยาวชนนักเคลื่อนไหวที่ถูกปฏิเสธการประกันตัวแม้ไม่มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการหลบหนี เรามีนักวิชาการและสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวน แต่ถูกทุนใหญ่ไล่ฟ้องปิดปากเพื่อพยามขวางการตรวจสอบ เรามีโครงการขนาดใหญ่ที่รับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่แค่พอเป็นพิธี
ปัญหาทั้งหมดไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์มีสาเหตุบางส่วนมาจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ออกแบบระบบการเมืองไม่เกรงใจประชาชน ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ เมื่อระบบการเมืองเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ประเทศไทยและประชาชนต้องเผชิญกับวิกฤต 3 อย่าง ที่กระทบกับคุณภาพชีวิตประชาชนโดยตรง
วิกฤตที่ 1 คือวิกฤตประชาธิปไตยถดถอย เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ไทยถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งประชาธิปไตยในภูมิภาค แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ทำให้สถาบันทางการเมืองมีความนิยมกับประชาชนน้อยลง เลือก สส.ไปทำงานสภาฯ เลือกรัฐบาลไปทำงานในทำเนียบ แต่คนมาชี้ขาดว่ากฎหมายอะไรแก้ได้ไม่ได้ นโยบายอะไรทำได้หรือไม่ได้ บุคคลใดเป็นรัฐมนตรีได้หรือไม่ได้ สสร.แบบไหนได้หรือไม่ได้ กลับเป็น 9 คนที่นั่งอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่เคยให้ความเห็นชอบ
วิกฤตที่ 2 คือ วิกฤตนโยบายล้าหลัง เมื่อ 20 ปีที่แล้วไทยถูกมองว่าเป็นต้นตำรับของนโยบายที่ก้าวหน้าในหลายด้าน เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค หรือหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 กลับไม่ช่วยสนับสนุนให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีสมาธิและแรงจูงใจในการผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชน สมาธิบางส่วนเสียไปกับการรับมือกับคณะนักร้องมืออาชีพที่ติดปีกโดยรัฐธรรมนูญปี 2560 บางครั้งร้องมีมูล บางครั้งร้องมั่วซั่ว แรงจูงใจในการผลักดันนโยบายให้สำเร็จมีไม่มากนัก เพราะความอยู่รอดของรัฐบาลไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการผลักดันนโยบายหรือความพึงพอใจของประชาชน
วิกฤตที่ 3 คือวิกฤตทุจริตเรื้อรัง ตอนที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ถูกบังคับใช้ ผู้สนับสนุนหลายคนภูมิใจว่าเป็น “รัฐธรรมนูญปราบโกง” แต่วันนี้ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่สามารถปราบโกงได้จริง ปราบได้เฉพาะคนที่อยากจะปราบ ทำให้คะแนนความโปร่งใสของประเทศไทยในดัชนีสากลดิ่งแย่เท่ากับเนปาล รัฐมนตรี สส. สว.จะทุจริตต่อหน้าที่แค่ไหน กกต. สตง.จะเกียร์ว่างต่อการตรวจสอบการทุจริตแค่ไหน ประชาชนก็ไม่สามารถเข้าชื่อถอดถอนได้
“ผมไม่ได้บอกว่ารัฐธรรมนูญเป็นยาวิเศษ ไม่ได้บอกว่ามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วปัญหาทั้งหมดนี้หมดไป ไม่ได้บอกว่าแก้รัฐธรรมนูญแล้วค้าขายจะดีขึ้นทันที คนโกงหมดประเทศ แต่ในเมื่อรัฐธรรมนูญ 60 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่สามารถนำพาซึ่งระบบการเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชนที่เป็นที่พึ่งได้ คำถามที่ตามมา แล้วเราอยากติดอยู่ในกับดักของรัฐธรรมนูญ 60 ทำไมหรือลึก ๆ แล้วเรามีความกลัวกับการจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า หลายคนอาจมีความกังวลว่ารัฐบาลบ้านเราจะสนใจแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ไม่สนใจเรื่องปากท้อง ทั้งที่ประชาชนไม่มีจะกินกันอยู่แล้ว ในมุมหนึ่งหาก ครม.ชุดไหนไร้ประสิทธิภาพถึงขั้นไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญควบคู่กับการแก้ปัญหาปากท้องและความมั่นคงได้ ตนเองคิดว่าประชาชนก็อยากให้เขาเป็นรัฐบาล อีกมุมหนึ่งจะบอกว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนในระยะยาวก็คงจะไม่ใช่ ถ้ารัฐรัฐธรรมนูญจะทำให้นายกฯ และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องเปลี่ยนกันทุกปี แล้วนักลงทุนที่ไหนจะอยากถอนเงินมาลงทุนในไทย ยกเว้นกลุ่มทุนเทาที่อาจจะต้องการฉวยโอกาสจากจังหวะชุลมุนแบบนี้
ถ้ารัฐธรรมนูญปี 2560 ให้คนโกงหากินจากภาษีประชาชนไปได้เรื่อย ๆ ประเทศจะเหลืองบประมาณและทรัพยากรส่วนไหนมากระตุ้นเศรษฐกิจหรือทำสวัสดิการให้กับประชาชน ถ้ารัฐธรรมนูญทำให้คนเข้ามาทำงานการเมืองได้ต้องพึ่งทุนใหญ่บ้านใหญ่ แล้วใครในสภาฯ จะเป็นตัวแทนที่ผลักดันนโยบายที่เอาประชาชนเป็นใหญ่
หลายคนอาจจะมีความกังวลว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นการแก้ปัญหาผิดจุด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาอยู่ที่นักการเมือง ตนเองเข้าใจดีว่านักการเมืองในประเทศเรามีหลายคนที่มีปัญหา แต่ประเทศเราได้นักการเมืองแบบไหนขึ้นอยู่กับว่ารัฐธรรมนูญเขียนเกี่ยวกับนักการเมืองไว้อย่างไร ถ้ารัฐธรรมนูญเขียนให้ สส.สามารถย้ายพรรคกลางสภาฯ ได้เป็นว่าเล่น โดยที่ไม่เคยขออนุญาตประชาชน เราก็จะได้ สส.ที่วัน ๆ คิดแต่จะรวมมุ้งเพื่อไปต่อรองผลประโยชน์ตำแหน่งใน ครม. หากเรามีรัฐธรรมนูญที่เขียนให้การได้มาซึ่ง สว.ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน เอื้อต่อการฮั้ว เราจะได้วุฒิสภาที่ตอบไม่ได้ว่าเป็นตัวแทนของประชาชนคนไหนหรือกลุ่มไหน
บางท่านอาจจะมีความกังวลใจว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเขียนมาแย่กว่าเดิม ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ แต่ไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะถูกเขียนออกมาแย่แค่ไหน รัฐธรรมนูญฉบับนั้นจะไม่มีทางถูกบังคับใช้ในประเทศไทยได้ หากประชาชนไม่เห็นชอบเพราะในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะถูกบังคับใช้ได้ต้องผ่านความเห็นชอบจากประชาชนผ่านการทำประชามติ 2 ครั้ง
บางท่านอาจจะกังวลว่าการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเสียเวลา มาตราใดเป็นปัญหาก็ไปแก้มาตรานั้นแยกเป็นรายมาตราจะดีกว่าหรือไม่ ซึ่งบางปัญหาเชื่อมโยงกับหลายมาตราถ้าแก้แค่ประเด็นเดียวอาจจะแก้เป็นหลาย 10 มาตรา ยกตัวอย่างหากอยากให้เป็นสภาฯ เดี่ยวก็จะต้องมีการแก้ไขอย่างน้อย 81 มาตรา
“ดังนั้นหากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งที่มีปัญหาแทบทุกห้อง พื้นทรุดหลังคารั่วผนังแตก แก้เป็นจุด ๆ ก็ทำได้ในเชิงทฤษฎี แต่หากปัญหาต่าง ๆ ลามไปถึงเสาเข็มหรือจุดที่เชื่อมต่อระหว่างแต่ละห้อง เราอาจจะมองว่าความจริงแล้วการออกแบบบ้านหลังใหม่ที่ทุกคนมีส่วนร่วม อาจจะเรียบง่าย รวดเร็ว และสร้างความรู้สึกได้ดีกว่าบ้านหลังนี้ ซึ่งจะเป็นบ้านที่ทุกคนหวงแหนและมีส่วนร่วมในการสร้าง”
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่าหากเพื่อนสมาชิกเห็นตรงกับตนเองว่าบ้านเรามีปัญหา เห็นตรงกับตนเองว่าถึงเวลาที่ควรจะออกแบบบ้านหลังใหม่ ทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อนสมาชิกสามารถลงมติเห็นชอบรับหลักการทั้ง 3 ร่างในวันนี้ได้ ส่วนรายละเอียดกลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งมีความเห็นที่แตกต่างกันระหว่าง 3 ร่างวันนี้และวันพรุ่งนี้ เราสามารถแสดงความเห็นได้เต็มที่ถึงมุมมองจุดแข็ง-จุดอ่อนในแต่ละร่าง ซึ่งรายละเอียดสามารถไปถกต่อได้ในชั้นคณะกรรมาธิการและหาข้อสรุปในวาระที่ 2 ในฐานะผู้เสนอร่าง ยืนยันว่าร่างของพรรคประชาชนพยามออกแบบกลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญที่ยึด 3 จุดแข็ง
จุดแข็งแรกคือ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และยืนยันว่าการมี สส.ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากที่สุด แม้เรายืนยันว่าเราไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งในเชิงกระบวนการและเชิงเนื้อหาที่วินิจฉัยขัดกับหลักการประชาธิปไตยและคำวินิจฉัยก่อน ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจจะทำให้การเสนอเรื่อง สสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% ไปต่อได้ค่อนข้างยาก
ดังนั้นพรรคประชาชนจึงพยายามออกแบบกลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบัาบใหม่ที่พยายามเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตราบใดที่ไม่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในเมื่อคำวินิจฉัยระบุว่าห้ามประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง พรรคประชาชนจึงออกแบบกลไกแบ่งเป็น 2 องค์ประกอบ ประกอบด้วย องค์คณะยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งให้ประชาชนเลือกผู้ร่างทางอ้อมได้ 70 คน โดยใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ใช้ระบบบัญชีรายชื่อก่อนที่จะให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน และสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าที่รับฟังความเห็นไปสะท้อนต่อคณะกรรมาธิการยกร่าง โดยกำหนดให้มีทั้งหมด 100 คน ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง มีตัวแทนจังหวัดละอย่างน้อย 1 คน
จุดแข็งที่ 2 คือการป้องกันการกินรวบจากการผูกขาด รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นกติกาที่ใช้ในการอยู่ร่วมกัน แต่กติกาดังกล่าวอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนทุกกลุ่ม หากกระบวนการในการร่างถูกผูกขาดไว้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เนื้อหาของพรรคประชาชนเมื่อรัฐสภาต้องคัดเลือกคณะกรรมาธิการ 35 คนจาก 70 คนที่ประชาชนเลือกมา เราไม่ได้ออกแบบให้การคัดเลือกใช้มติเสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภา เพราะหากกำหนดกติกาการคัดเลือกโดยใช้มติเสียงข้างมาก หมายความว่าสักวันหนึ่งหากพรรคการเมืองหนึ่งมี สส. 200 คนและมี สว.ที่คิดคล้ายกัน รวมกันเป็นเสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาก็จะสามารถแพ็คการและผูกขาดได้อย่าง 100% ดังนั้นพรรคประชาชนจึงออกแบบให้การคัดเลือกใช้วิธีการเสนอชื่อตามสัดส่วนของกลุ่มความคิดต่าง ๆ ในรัฐสภา โดยให้ สส. ส.ว. รวมตัวกัน 20 คนเพื่อมีสิทธิ์เสนอคัดเลือกกรรมาธิการ 1 คน
จุดแข็งที่ 3 เราพยายามกำหนดกรอบเนื้อหาที่ชัดเจน เนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเขียนอย่างไรเป็นสิ่งที่คณะกรรมาธิการร่างและ สสร.ต้องถกกันในอนาคต พรรคประชาชนจึงเพิ่มเข้าไปในมาตรา 256/26 กรอบเนื้อหา 9 ข้อว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรยึดพื้นฐานอะไรและกำหนดทิศทางเนื้อหาอย่างไร 2 ข้อแรกระบุชัดว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากรัฐเดี่ยว และต้องไม่เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วน 7 ข้อหลังพูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหาในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน การออกแบบสถาบันทางการเมืองให้ความยึดโยงกับประชาชน การยกระดับกลไกป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น รวมถึงการรองรับระบบราชการและนโยบายที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง
นายพริษฐ์ ทิ้งท้ายว่า อะไรก็ตามที่มีความเห็นแตกต่างกัน ตนเองจะติดตามรับฟังคำอภิปรายของทุกคน และเพื่อนสมาชิกจากพรรคประชาชนจะใช้เวทีนี้ในการชี้แจงในทุกข้อ จะนำทุกความเห็นไปแลกเปลี่ยนดำเนินการต่อในชั้นคณะกรรมาธิการ โดยหลักการสำคัญที่ต้องตัดสินใจร่วมกันคือ เราต้องการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ การมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่รัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนกับอากาศล่องหนจับต้องได้ยาก แต่ส่งผลกระทบต่อเราในทุกวินาที ถ้ารัฐธรรมนูญและอากาศดีบริสุทธิ์ไม่ใช่การค้าขายและเศรษฐกิจที่จะดีขึ้นทันที แต่ถ้ารัฐธรรมนูญและอากาศเป็นพิษจะกระทบต่อสุขภาพในการทำมาหากินและ ศักยภาพของประเทศในการแข่งขันโลก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ภราดร' สวน 'หัวหน้า พท.' ใครกันแน่ถ่วงแก้รธน. ไล่ไปดูบันทึกประชุม กมธ.
'ภราดร' ย้อน 'จุลพันธ์' ใครกันแน่เตะถ่วงแก้รธน. ไล่ให้ดูบันทึกการประชุม หวัง กมธ. ทำให้เสร็จอย่างช้าต้นเดือนหน้า ก่อนชงประธานรัฐสภา เสนอนายกฯ เปิดสมัยวิสามัญ 8-11 ธ.ค. ย้ำภท.ตั้งใจดันไม่เคยขวาง
ฟันธง! สถานการณ์บีบ 'ปชน.' ต้องยื่นซักฟอก ยอมทิ้งแก้รธน.
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สุดท้าย พรรคส้ม ต้องยื่นซักฟอกรัฐบาล
หืดขึ้นคอ 'กมธ.แก้รธน.' หวังองค์ประชุมครบไม่ล่มซ้ำซ้อน
กมธ.แก้ รธน. มั่นใจ 12 พ.ย.นี้ องค์ประชุมครบ ไม่ล่มซ้ำอีก เพื่อเดินหน้าเคาะกลไกยกร่าง ยัน ถกเข้มทุกมิติ ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาล รธน. ป้องคนร้องในอนาคต เชื่อ แล้วเสร็จภายในเดือนนี้แน่นอน
เกมวัดใจ! 'พท.-ปชน.' ซักฟอก 'รัฐบาลอนุทิน'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อภิปรายไม่ไว้วางใจ เกมวัดใจล้วนๆ
'ภราดร' ชงสภาฯ เปิดประชุมวิสามัญ 8-10 ธ.ค. เร่งแก้ รธน. หวังวาระ 3 จบก่อนปีใหม่
“ภราดร” ชง สภา เปิดวิสามัญ 8-10 ธ.ค. พิจารณาแก้ รธน. หวังโหวตวาระ 3 เสร็จก่อนปีใหม่ มีเวลาให้ กกต. ทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง ยํ้า กมธ.เห็นพ้อง หาทางรอดคำวินิจฉัยศาล เล็งสูตรคนละครึ่ง สมัครก่อน ให้สภาจับกลุ่มเคาะ เลี่ยงเข้าคูหาโดยตรง
ปชน.-พท. อย่าเกี่ยงกัน! ซักฟอกเมื่อไร 'นายกฯหนู' ชะตาขาดแน่
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อย่าเกี่ยงกัน 3 เรื่องพอซักฟอกแล้ว

