คนไทยเราเคยชินกับการเสียค่าธรรมเนียมมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับภาครัฐหรือภาคเอกชน โดยมีความรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ต้องเสียถ้าประสงค์จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง และโดยมากมักไม่ค่อยโต้แย้งการจัดเก็บหรืออัตราที่เรียกเก็บเท่าใดนัก
อย่างไรก็ดี การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากประชาชนมีหลักสำคัญบางประการที่ต้องยึดถือ เช่น อำนาจในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต้องมีกฎหมายแม่บทให้อำนาจเนื่องจากการบังคับจัดเก็บกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จึงต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนของปวงชน นอกจากนั้น รัฐไม่ควรจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงเกินควรจนถึงขั้นแสวงหากำไร เพราะการดำเนินงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นภารกิจหลักของรัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่จัดเก็บในอัตราที่ต่ำเกินไป เพราะอาจส่งผลเป็นการแทรกแซงกลไกตลาดและก่อภาระแก่งบประมาณแผ่นดินจากการอุดหนุนกิจกรรมเช่นว่านั้น
หลักการกำหนดค่าธรรมเนียมในกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม รวมทั้งไม่เป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการบัญญัติหรือกำหนดหลักการ ดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน ส่งผลให้การกำหนดค่าธรรมเนียมในกฎหมายไทยประสบปัญหา
บางประการ เช่น
- การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่ควรเรียกเก็บ โดยเฉพาะกรณีที่ให้ประชาชนแจ้งข้อมูล
แก่ภาครัฐตามกฎหมาย เช่น การแจ้งเกิด แจ้งตาย เพื่อประโยชน์ในการจัดทำข้อมูลภาครัฐ - การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไปจนสร้างภาระแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ
เกินสมควร หรือการกำหนดต่ำเกินไปจนไม่สอดคล้องกับต้นทุนค่าใช้จ่ายของภาครัฐ - อัตราค่าธรรมเนียมจำนวนมากกำหนดไว้เป็นเวลานานหลายสิบปี ทำให้อัตราที่กำหนด
ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้จัดทำ “หลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการ” ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการกำหนดค่าธรรมเนียมในกฎหมายไทย โดยมีสาระสำคัญดังนี้
๑. กำหนดหลักเกณฑ์การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมให้ชัดเจนว่า ค่าธรรมเนียมเป็นการบังคับจัดเก็บจึงต้องมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติให้อำนาจไว้ และต้องกำหนดอัตราขั้นสูงไว้ในกฎหมาย
๒. แยกค่าบริการออกจากค่าธรรมเนียม เนื่องจากเป็นการจ่ายเงินที่ประชาชนจ่ายเพื่อตอบแทนการให้บริการในทำนองเดียวกับการรับบริการจากภาคเอกชน ค่าใช้จ่ายนี้เป็นทางเลือกของประชาชนที่จะใช้บริการหรือไม่ก็ได้ การเรียกเก็บเป็นไปตามข้อเท็จจริงจึงไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติให้อำนาจ เช่น การเรียกเก็บค่าถ่ายเอกสาร การเรียกเก็บค่าทางด่วน
๓. กำหนดกรณีที่รัฐไม่พึงเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากประชาชนให้ชัดเจน อาทิ กรณีที่ประชาชนปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเพื่อให้ภาครัฐได้ข้อมูล เช่น การแจ้งเกิด แจ้งตาย การจดทะเบียนพาณิชย์
๔. กำหนดปัจจัยที่หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาในการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม เช่น ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของรัฐ ประโยชน์ที่บุคคลนั้นจะได้รับ และอัตราเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้อัตราที่กำหนดมีที่ไปที่มาที่ชัดเจน
๕. กำหนดหลักเกณฑ์การคิดค่าบริการ เพื่อมิให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการคิดค่าบริการที่สูงหรือต่ำเกินไป เช่น ค่าบริการของกิจการของรัฐต้องไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรสูงสุด ค่าบริการสำหรับกิจการของรัฐที่มีลักษณะเป็นการผูกขาดต้องไม่สูงเกินสมควร แต่ค่าบริการของรัฐสำหรับกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกันโดยเสรีต้องไม่ต่ำเกินสมควร เป็นต้น
๖. กำหนดกระบวนการให้หน่วยงานของรัฐต้องรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้องในการกำหนดค่าธรรมเนียม และทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่ประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
ปัจจุบัน คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการดังกล่าวแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔ และให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติโดยทั่วกัน ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบกฎหมายหรือกฎที่มีการกำหนดค่าธรรมเนียม มีหน้าที่แก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดใด ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวในโอกาสแรก เช่น การยกเลิกการจัดเก็บค่าธรรมเนียมกรณีประชาชนแจ้งข้อมูลแก่รัฐ การปรับปรุงอัตรา ค่าธรรมเนียมให้สอดคล้องกับสภาวะ ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงคาดหมายได้ว่า ภายในไม่กี่ปีนี้ การกำหนด ค่าธรรมเนียมในกฎหมายไทยจะมีความเหมาะสมและเป็นธรรมยิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ สมดังเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดให้รัฐพึงปรับปรุงกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ และพึงจัดให้มีกลไกสำหรับการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ ไม่สร้างภาระแก่ประชาชนเกินความจำเป็น และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (มาตรา ๗๗ และมาตรา ๒๕๘ ค. (๑))
ศึกษารายละเอียดของหลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการได้ที่ https://cdn.me-qr.com/pdf/2209819.pdf
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การใช้มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมคุณภาพยาเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน
การจะพัฒนากฎหมายเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามวิสัยทัศน์ “Better Regulation for Better Life” ได้นั้น นอกจากการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทางด้านเศรษฐกิจแล้วนั้น
บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากับการขับเคลื่อนงานด้านกฎหมายเกี่ยวกับ “Soft Power”
นโยบายสำคัญอย่างหนึ่งที่ได้รับความสนใจและมีการกล่าวถึงอย่างแพร่หลายของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) เข้ามาบริหารประเทศ
การยกเลิกกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น
สิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยรัฐจะดำเนินการที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจเท่านั้น
Regulate to elevate : บทบาทของกฎหมายกับการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
โลกหลังจากวิกฤติโควิด-19 ประชาชนหันมาให้ความสนใจในการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจด้วยแนวคิดความยั่งยืนเป็นหลักการสำคัญ การจัดทำนโยบายแห่งรัฐและกระบวนการกฎหมายจึงจำเป็นต้อง
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กับการพัฒนากฎหมายที่ช่วยส่งเสริมสตาร์ทอัพ
การพัฒนาระบบเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเป็นเครื่องมือ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้านกฎหมาย ซอฟต์พาวเวอร์ที่เอื้อมถึง
หลายท่านอาจไม่ทราบว่า นอกจากภารกิจด้านการตรวจพิจารณาร่างกฎหมายและการให้ความเห็นทางกฎหมายแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพ