เปิดศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวข้าวหรือ “โรงเรียนโรงสีแห่งแรก” ของประเทศไทย

เปิดศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวข้าวหรือ “โรงเรียนโรงสีแห่งแรก” ของประเทศไทย เนื่องในโอกาสที่บริษัท ยนต์ผลดี จำกัดฉลองครบรอบ 74 ปี และจับมือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ใช้เทคโนโลยี UTD RF ทำหมันมอด ยกระดับข้าวไทยให้เป็นข้าวที่ปลอดภัย

เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่บริษัท ยนต์ผลดี จำกัด จ.นครสวรรค์ มีพิธีเปิดศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวข้าว มี ดร.วิสูตร จิตสุทธิภากร ตำแหน่ง ประธานกรรมการบริษัท ยนต์ผลดี จำกัด เปิดงานพร้อมกับนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และดร.กานต์ จิตสุทธิภากร ตำแหน่ง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยนต์ผลดี จำกัด  โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

ทั้งนี้ ดร.วิสูตร กล่าวเปิดศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวข้าว ว่า ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวข้าว หรือ “โรงเรียนโรงสี” จัดตั้งโดย บริษัท ยนต์ผลดี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรสีข้าวและอุปกรณ์โรงสีข้าว มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการพัฒนาเครื่องจักรสีข้าวโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจโรงสีข้าวให้ทันสมัยอยู่เสมอ ด้วยความรู้และประสบการณ์ ที่มีมานาน 74 ปี ในด้านการสีแปรรูปข้าว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้เล็งเห็นว่าปัจจุบันเทคโนโลยีการสีแปรรูปข้าว มีเครื่องจักรและนวัตกรรมต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องมีแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ในการส่งเสริมขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการโรงสี รวมถึงผู้ที่สนใจ จึงเกิดเป็นการสร้างหลักสูตร “การบริหารจัดการโรงสีข้าวทันสมัย” สำหรับผู้บริหารโรงสีข้าวเป็นแห่งแรกของประเทศไทยขึ้นมา

ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวข้าวมีการดำเนินการสีข้าวสารจำหน่ายในตรา “พลังนา” เพื่อเป็นต้นแบบในธุรกิจโรงสีข้าวในแนวทางวิสาหกิจเพื่อสังคม ด้วยการแบ่งผลกำไรที่ได้จากการสีข้าวมาพัฒนาแหล่งน้ำให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิก ดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยการปลูกข้าวด้วยวิธีการเปียกสลับแห้ง ไม่เผาฟาง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน นอกจากนี้ข้าว “พลังนา” ทุกเมล็ดจะผ่านกระบวนการ UTD RF ในการทำหมันมอด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้าวสารมีความปลอดภัยกับผู้บริโภค ปลอดจากสารเคมีตกค้าง 100% และมุ่งหวังให้เป็นตัวอย่างของโรงสีข้าวที่สามารถดำเนินธุรกิจพร้อมกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” ดร.วิสูตร กล่าว

จากนั้นมีพิธีลงนามความร่วมมือ “การสนับสนุนส่งเสริมศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวข้าว” ระหว่างอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยรศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ และบริษัท ยนต์ผลดี จำกัดโดยดร.กานต์ จิตสุทธิภากร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยนต์ผลดี จำกัด

รศ.ดร.ปิติวัฒน์ กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ มีทั้งสิ้น 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.ร่วมกันดำเนินงานวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี UTD RF รวมถึงงานวิจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ร่วมวิจัยพัฒนาระบบกำจัดแมลงและไข่แมลงด้วยเทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้งานเชิงพาณิชย์ของโรงสีข้าวขนาดใหญ่ ในการขยายกำลังการผลิตการกำจัดแมลงด้วยเทคโนโลยี UTD RF จากเดิม 1 ตัน/ชั่วโมง/ยูนิต เป็น 3-5 ตัน/ชั่วโมง/ยูนิต เป็นต้น  2. ร่วมกันถ่ายทอดองค์ความรู้ฯ  ให้แก่ผู้ประกอบการโรงสี วิสาหกิจชุมชน และผู้บริโภค  3. ร่วมกันดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องทั้งจากแหล่งทุนภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าว รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 4.ร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์เทคโนโลยี UTD RFให้เป็นที่รับรู้แก่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง และ 5.ร่วมกันแลกเปลี่ยนการใช้ทรัพยากร บุคคลากร เครื่องมือ ห้องปฏิบัติการ และโครงสร้างพื้นฐาน 

“ความร่วมมือดังกล่าวคาดว่าจะมีผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน รวมถึงบุคคลกรที่ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ในนวัตกรรมมากกว่า 500 คน เกิดการลงทุนในการวิจัยพัฒนาไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท ทั้งยังสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการถ่ายทอด และเผยแพร่การใช้งานเทคโนโลยี UTD RF เชิงพาณิชย์สู่โรงสีขนาดใหญ่กว่า 28 ล้านบาท สร้างการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากการใช้งานเทคโนโลยีกว่า 70 คน คิดเป็นผลกระทบเชิงเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 91 ล้านบาท เกิดการยกระดับข้าวไทย ให้เป็นข้าวที่ปลอดภัย ปราศจากการใช้สารเคมีในการผลิต สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับต่างประเทศต่อไป” รศ.ดร.ปิติวัฒน์

ขณะที่ดร.กานต์ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ลงนามถ่ายทอดเทคโนโลยีและอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยี เครื่องกำจัดมอดและไข่มอดด้วยเทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ UTD RF (Uniform Thermal Distribution Radio Frequency) จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อการผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ในตรา ไบโอ-คิว (BiO-Q) ตั้งแต่ปี 2560 เทคโนโลยี UTD RF นี้สามารถใช้กำจัดมอดและไข่มอดได้อย่างสมบูรณ์ในเมล็ดข้าวสาร ปัจจุบันเครื่องไบโอ-คิวได้รับการพัฒนารูปแบบเครื่องจักรให้มีความเหมาะสมในการใช้งานในโรงสีข้าว นำไปผ่านการทดสอบความปลอดภัยด้านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สวทช. (PTEC) ผ่านการขึ้นบัญชีนวัตกรรมของสำนักงบประมาณ และร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเลขที่ มอก.3127-2563 ส่งผลให้ข้าวสารบรรจุถุงมีคุณภาพดี ปราศจากมอดจนเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคเรื่องความสะอาด ปราศจากสารเคมีกำจัดมอดที่ก่อมะเร็งตกค้างอยู่ในข้าวสาร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มช. เปิดตัวเว็บไซต์ แสดง Dashboard ระบบการเฝ้าระวังโรคที่เป็นผลกระทบจากปัญหาหมอกควัน และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหัวหน้าโครงการวิจัย

มช. เปลี่ยนการเผาเป็นพลังงานสะอาด พัฒนาชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ทดแทนการใช้ถ่านหิน ลดมลพิษ เพิ่มโอกาสแก่ชุมชน

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย คณะวิศวกรรมศาสตร์ เดินทางไปยังอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่เพื่อสาธิตวิธีการใช้เครื่องต้นแบบ Torrefactor และ Pyrolyzer นำทีมโดย ศาสตราจารย์ ดร.นคร ทิพยาวงศ์

มช. ร่วมสร้างพื้นที่ปลอดภัย ไร้ฝุ่น PM2.5 ทั้งในรั้วไปจนถึงพื้นที่ห่างไกล พร้อมนำเอานวัตกรรมพัฒนาระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศ แจ้งเตือน ป้องกันการเผาแบบ Real time

“PM 2.5” คำยอดฮิตที่หลาย ๆ คนมักได้ยินจากข่าวในช่วงต้นของปีหลังการสิ้นสุดฤดูหนาว และเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน หนึ่งในปัญหาที่พื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยประสบในทุกปี

เริ่มแล้ว ! นักวิจัย มช. กับภารกิจ ไอซ์คิวบ์อัปเกรด (IceCube Upgrade) และโครงการช้างแวน ณ ขั้วโลกใต้ มุ่งพัฒนาความรู้คนไทยไปสู่ระดับโลก

อาจารย์ เรือโท ดร.ชนะ สินทรัพย์วโรดม นักวิจัย มช. คนไทยคนแรกที่ได้รับเลือกไปปฏิบัติงานในพื้นที่ ใจกลางขั้วโลก ทวีปแอนตาร์กติกา ได้เริ่มปฏิบัติภารกิจร่วมกับวิศวกรจากนานาชาติในการเจาะน้ำแข็งเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดนิวทริโนใต้แผ่นน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกใต้ โดยจะใช้เวลาปฏิบัติงาน