นายเอกราช ตรีลพ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงผลการศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปลูกถั่วลิสงของเกษตรกร เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกถั่วลิสงมากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนามาตรการการปลูกพืชใช้น้ำน้อยทดแทนการปลูกข้าวนาปรังของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ สศก. โดยสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร ได้จัดเก็บข้อมูลในพื้นที่ปลูกถั่วลิสงที่สำคัญใน 8 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ศรีสะเกษ และสกลนคร โดยการสัมภาษณ์เกษตรกร จำนวน 411 ราย แบ่งเป็น เกษตรกรผู้ปลูกถั่วลิสง 195 ราย และเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 216 ราย
สำหรับผลการศึกษา ต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกถั่วลิสง ปีเพาะปลูก 2565/66 พบว่า มีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะต้นทุนค่าแรงงาน โดยต้นทุนการผลิตของถั่วลิสงรุ่น 1 (ถั่วฝน) อยู่ที่ 12,871.24 บาทต่อไร่ มีค่าแรงงานคิดเป็นร้อยละ 54.36 ของต้นทุนการผลิตถั่วลิสงรุ่น 1 ทั้งหมด ขณะที่ต้นทุนการผลิตถั่วลิสงรุ่น 2 (ถั่วแล้ง) สูงกว่าเล็กน้อย อยู่ที่ 14,291.16 บาทต่อไร่ มีค่าแรงงานคิดเป็นร้อยละ 53.67 ของต้นทุนการผลิตถั่วลิสงรุ่น 2 ทั้งหมด ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตของการปลูกถั่วลิสงรุ่น 2 มากกว่าถั่วลิสงรุ่น 1 เนื่องจาก ถั่วลิสงรุ่น 2 มีค่าใช้จ่ายการดูแลรักษาที่สูงกว่า โดยเฉพาะค่าแรงงานการดูแลรักษา รวมถึงการให้น้ำที่เพียงพอกับความต้องการของพืช
ด้านผลผลิตต่อไร่ พบว่า ถั่วลิสงรุ่น 2 มีผลผลิตเฉลี่ย 630.37 กิโลกรัมฝักสดต่อไร่ ขณะที่ถั่วลิสงรุ่น 1 มีผลผลิตเฉลี่ย 559.77 กิโลกรัมฝักสดต่อไร่ สำหรับราคาเฉลี่ยของถั่วลิสงรุ่น 2 มีราคาเฉลี่ย 26.41 บาทต่อกิโลกรัม และถั่วลิสงรุ่น 1 มีราคาเฉลี่ย 25.28 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ผลตอบแทนถั่วลิสงรุ่น 2 เฉลี่ยไร่ละ 16,648.07 บาท คิดเป็นกำไร 3.74 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ถั่วลิสงรุ่น 1 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยไร่ละ 14,150.99 บาท คิดเป็นกำไร 2.29 บาทต่อกิโลกรัม
ทั้งนี้ มีปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกษตรกรตัดสินใจปลูกถั่วลิสงเพิ่มขึ้น ได้แก่ การอบรมความรู้ด้านการปลูกถั่วลิสง ซึ่งการได้รับความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปลูกถั่วลิสงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นใจและกระตุ้นให้เกษตรกรตัดสินใจปลูกถั่วลิสงเพิ่มขึ้น โดยเกษตรกรที่ผ่านการอบรมมีแนวโน้มที่จะปลูกถั่วลิสงมากขึ้นถึงร้อยละ 29.68 นอกจากนี้ การมีรายได้ภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น เป็นอีกปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญ โดยพบว่าหากเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น จะตัดสินใจปลูกถั่วลิสงเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.34 ขณะที่ปัจจัยที่ส่งผลให้เกษตรกรตัดสินใจปลูกถั่วลิสงลดลง ได้แก่ การมีพื้นที่เพาะปลูกในเขตชลประทาน ซึ่งส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะปลูกถั่วลิสงลดลงถึงร้อยละ 17.75 เนื่องจากว่าเกษตรกร ในเขตชลประทานมีทางเลือกในการปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และอีกปัจจัยหนึ่ง คือ อายุของเกษตรกร โดยพบว่าเกษตรกรที่มีอายุมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะปลูกถั่วลิสงลดลงร้อยละ 1.07 เพราะเกษตรกรสูงอายุมีข้อจำกัดทางด้านร่างกายในการทำการเกษตรที่ต้องใช้แรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปลูกถั่วลิสงที่เป็นพืชที่มีการใช้แรงงานสูงในการผลิต ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาในส่วนของการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกถั่วลิสง
ดังนั้น แนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกถั่วลิสงเพิ่มขึ้น ควรเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนให้สอดคล้องกับบริบทและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปลูกถั่วลิสงของเกษตรกร โดยภาครัฐควรมุ่งเน้นการส่งเสริมการปลูกถั่วลิสงในพื้นที่นอกเขตชลประทานเป็นหลัก เนื่องจากเกษตรกรในพื้นที่เหล่านี้อาจมีทางเลือกในการปลูกพืชที่หลากหลายน้อยกว่า และถั่วลิสงเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย ซึ่งเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งการส่งเสริมนี้ ควรมาพร้อมกับการจัดอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการปลูกถั่วลิสงอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ภาครัฐควรมีมาตรการจูงใจทางการเงิน เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกถั่วลิสงมากขึ้น เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ การสนับสนุนปัจจัยการผลิตถั่วลิสง และการสนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตร เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงควรให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์ถั่วลิสง โดยสนับสนุนการพัฒนาพันธุ์ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูง มีคุณภาพดี และทนทานต่อโรคและแมลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงให้กับเกษตรกรในระยะยาว สำหรับท่านที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนวิจัยเศรษฐกิจพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โทร. 0 2579 0611 ในวันและเวลาราชการ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กรมส่งเสริมสหกรณ์ วางมาตรการรับมือผลผลิตผลไม้ปี 2568 พร้อมสนับสนุนรวบรวมและกระจายผลผลิตผ่านสหกรณ์ เพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้วาง 3 มาตรการบริหารจัดการผลไม้ของสถาบันเกษตรกรในปี 2568 เพื่อเตรียมรับมือกับปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีการจัดการผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1.
น้ำท่วมก็ไม่กลัว แล้งก็ไม่หวั่น .. “ธนาคารน้ำใต้ดิน” โมเดลเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสของเกษตรกร
ในวันที่สภาพอากาศสุดขั้วกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ของโลก “น้ำ” กลายเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงของเกษตรกรไทย ฝนตกหนัก
สศก. ถอดบทเรียนปัญหาพื้นที่เพาะปลูกทับซ้อน เตรียมใช้ Machine Learning หนุนการจัดทำแผนที่เกษตรกรรม
นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากที่ สศก. มีภารกิจในการจัดทำและบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศการเกษตร
“สุชาติ พร้อมเดินหน้ามาตรการคู่ขนาน ดันราคาลำไย ดูดซับผลผลิต ช่วยเกษตรกร”
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยวันนี้ (12 กรกฎาคม 2568) ว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวทางออนไลน์ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดว่าลำไยจังหวัดเชียงใหม่มีราคาตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 1 บาทนั้น ข้อเท็จจริงราคาดังกล่าวเป็นเพียงราคาลำไยเกรด C ซึ่งเป็นลำไยรูดร่วง
อัดงบ 3.9 หมื่นล้าน แจกไร่ละพัน ช่วยชาวนา-ปรับพื้นที่ปลูกข้าว
ชาวนาเฮ! ปลูกข้าวนาปี แจกไร่ละ 1000 บาท ให้ไปซื้อปัจจัยการผลิต 500 บาทต่อไร่ และกรณีปรับเปลี่ยนการผลิตไร่ละ 1,500 บาท วงเงินรวม 39,435.36 ล้านบาท
สศก. ร่วมประชุมองค์กรย่อยภายใต้ UNFCCC ณ เยอรมนี เตรียมพร้อมเข้าสู่ COP30 ด้านเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร
นางสาวกาญจนา ขวัญเมือง รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ