
“ดื่มแล้วขับ” ไม่ใช่เพียงคำเตือนที่ได้ยินจนชินหู แต่ยังคงเป็นเงามืดที่คร่าชีวิตและสร้างบาดแผลทางสังคมอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค ระหว่างปี 2562-2566 มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับมากถึง 284,253 ราย หรือเฉลี่ยปีละเกือบ 57,000 ราย เท่ากับว่าทุกชั่วโมงมีคน 7 คนต้องกลายเป็นเหยื่อบนท้องถนน ความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงกว่า 7.4 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่สิ่งที่น่าห่วงไม่แพ้กันคือปรากฏการณ์ “ทำผิดซ้ำ” ที่ยังไม่มีมาตรการจัดการอย่างจริงจัง
กรณีของ “น้องอิงฟ้า” เด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่เสียชีวิตขณะรถติดไฟแดงในจังหวัดระยอง หลังถูกคนเมาแล้วขับพุ่งชนเสยรถเก๋ง 4 คัน และรถจักรยานยนต์อีก 3 คัน สะท้อนความโหดร้ายของปัญหา คนขับรายดังกล่าวถูกพบว่าเป็น “ขาประจำ” ของคดีเมาแล้วขับ และยังพยายามยื้อการตรวจวัดแอลกอฮอล์ จนไม่ถูกบันทึกในประวัติอาชญากรรม กรณีนี้กลายเป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่า การปล่อยให้ระบบกฎหมายมีช่องโหว่ คือการเปิดทางให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ช่องโหว่กฎหมายและระบบจัดการ
กว่า 5 ทศวรรษที่ไทยพยายามผลักดันกฎหมายเมาไม่ขับ แม้จะมีบทลงโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปีจนถึง 15 ปีในบางกรณีร้ายแรง แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ เพราะการบังคับใช้ยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ ผู้กระทำผิดซ้ำบางรายสามารถรอดพ้นการบันทึกในระบบอาชญากรรมไปได้ ช่องโหว่นี้กลายเป็นจุดอ่อนที่เปิดโอกาสให้เกิดเหตุซ้ำซาก

นายศุภชัย สมเจริญ ประธานอนุกรรมการด้านกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายด้านความปลอดภัยทางถนน ยอมรับว่า “มาตรการมีอยู่หลากหลาย แต่การบังคับใช้จริงยังไม่เด็ดขาด” พร้อมเสนอแนวทางเชื่อมโยงฐานข้อมูลเพื่อให้อัยการและศาลสามารถติดตามประวัติผู้กระทำผิดซ้ำได้ชัดเจน รวมถึงมาตรการริบรถและการตัดแต้มใบขับขี่ ซึ่งหลายประเทศนำมาใช้และได้ผลจริง
บทบาทของตำรวจ: จากเทศกาลสู่ตลอดทั้งปี
อีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญคือการทำงานของตำรวจ พ.ต.อ.พชร์ ฐาปนดุลย์ ผู้กำกับการกลุ่มงานจราจร สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อติดตามผู้กระทำผิดซ้ำ และกำหนดให้ทุกคดีเมาแล้วขับต้องแนบประวัติอาชญากรรมและผลตรวจซ้ำก่อนส่งฟ้องอัยการ
ข้อมูลล่าสุดสะท้อนว่า ช่วงสงกรานต์ปี 2568 มีจำนวนผู้กระทำผิดซ้ำเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนถึงสองเท่า ตำรวจจึงประกาศเพิ่มความเข้มงวดตลอดทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะเทศกาล พร้อมทั้งย้ำว่า หากผู้ต้องหาเมาแล้วขับพยายามปฏิเสธการตรวจหรือยื้อเวลา จะถูกดำเนินคดีเข้มข้นขึ้น เพื่อปิดช่องโหว่ที่ทำให้หลายคดีหลุดรอดมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ตำรวจต้องเผชิญคือ การตรวจวัดแอลกอฮอล์ในสถานการณ์จริง เพราะมีผู้ต้องหาจำนวนมากพยายาม “ซื้อเวลา” ด้วยการปฏิเสธเป่าเครื่องตรวจทันที โดยการยื้อเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ก็สามารถทำให้ระดับแอลกอฮอล์ลดลงได้ถึง 10-15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเอาผิดในชั้นศาลได้ การสร้างมาตรการที่เด็ดขาดและบังคับใช้จริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น
สังคมไทยกับความท้าทายด้าน “จิตสำนึก”
การดื่มแล้วขับไม่ใช่เพียงปัญหากฎหมาย แต่ยังสะท้อนปัญหาจิตสำนึกของสังคมไทย งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า คนจำนวนไม่น้อยยังมองว่า "เมานิดหน่อยขับได้" ทั้งที่ปริมาณแอลกอฮอล์เพียงเบียร์ 1 กระป๋อง หรือเหล้า 2 ฝา ก็เพียงพอทำให้การตัดสินใจและสมาธิลดลง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทันที

นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ย้ำว่า ความเข้าใจผิดเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องแก้ไข พร้อมเสนอให้ร้านอาหารและสถานบันเทิงติดตั้งเครื่องตรวจแอลกอฮอล์ เพื่อให้ผู้ดื่มตระหนักว่า “ดื่มได้ แต่ห้ามขับ” ทั้งนี้ ในหลายประเทศเช่น ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย มีบทลงโทษรุนแรงจนผู้คนไม่กล้าเสี่ยง ขณะที่ไทยยังขาดมาตรการป้องปรามที่ทำให้เกิดความเกรงกลัวกฎหมายอย่างแท้จริง
ความพยายามยกระดับมาตรการ
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน และภาคีเครือข่าย ได้จัดกิจกรรม “เปลี่ยนซ้ำ เป็นจบ ครบรอบ 3 ปี เมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ” เพื่อระดมแนวทางแก้ปัญหา โดยหยิบยกกรณี “น้องอิงฟ้า” มาเป็นกรณีศึกษาในการผลักดันการแก้กฎหมาย และย้ำว่าต้องไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดซ้ำอยู่เหนือการบันทึกทางคดีอีกต่อไป

ดร. นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวชัดว่า “ปัญหาดื่มแล้วขับต้องจัดการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่เข้มงวดเฉพาะเทศกาล” โดย สสส.ได้บรรจุการจัดการความปลอดภัยทางถนนเป็นยุทธศาสตร์หลักในทศวรรษที่ 3 ตั้งเป้าลดอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนไม่เกิน 12 ต่อแสนประชากรภายในปี 2570
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
เครือข่ายภาคประชาสังคมและนักวิชาการเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรม อาทิ
- เพิ่มโทษรุนแรงสำหรับผู้กระทำผิดซ้ำ รวมถึงผู้ปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์
- บังคับใช้มาตรการริบรถทันทีในกรณีที่พบการเมาแล้วขับซ้ำหลายครั้ง
- จัดทำฐานข้อมูลกลางให้สามารถตรวจสอบได้ตลอดทั้งปี ไม่จำกัดเพียงช่วงเทศกาล
- สร้างระบบ “Deterrence Effect” ให้เกิดความกลัวต่อการละเมิดกฎหมาย
- รณรงค์ต่อเนื่องผ่านสื่อและโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและวัยแรงงาน

บทสรุป: เมื่อกฎหมายต้องเดินคู่กับสังคม
การแก้ปัญหาเมาแล้วขับในประเทศไทย ไม่อาจหวังพึ่งกฎหมายเพียงอย่างเดียว หากประชาชนยังขาดความรับผิดชอบและมองข้ามชีวิตของผู้อื่น เหยื่ออย่าง “น้องอิงฟ้า” คือเครื่องเตือนใจว่าความสูญเสียไม่ได้เกิดกับผู้เมาแล้วขับเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังลุกลามถึงครอบครัวและเศรษฐกิจทั้งระบบ
วันนี้ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ระหว่างการเลือกที่จะเข้มแข็งกับกฎหมายและสร้างวัฒนธรรม “เมาไม่ขับ” ให้เป็นจริง หรือปล่อยให้ความสูญเสียเดินซ้ำรอยไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้ว การทำผิดซ้ำไม่ใช่เพียงความผิดพลาดส่วนบุคคล แต่คือความล้มเหลวของทั้งระบบ ที่ต้องเร่งปิดช่องโหว่และสร้างจิตสำนึกใหม่ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“น้ำท่วมหาดใหญ่” สสส. ไม่ทอดทิ้ง! ผนึกกำลังภาคีเครือข่ายฯ เตรียมเปิดโมเดล 3 เฟส ช่วยทันที-ฟื้นบ้าน-สร้างภูมิคุ้มกันภัยพิบัติ
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่
สสส.-สถาบันยุวทัศน์ ฯ ผนึกเทศบาลนครเกาะสมุย เดินหน้า “นักเรียนปลอดบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้า” ผ่านสถานศึกษา 4 แห่ง
นายรามเนตร ใจกว้าง นายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า เทศบาลนครเกาะสมุย มียุทธศาสตร์การดำเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่
เด็กไทยเสี่ยงบนโลกออนไลน์ ถึงเวลามีสติรู้เท่าทันยุค AI
ทุกธุรกิจบนโลกใบนี้ล้วนเริ่มจาก “ความกลัว” ของมนุษย์-กลัวมืดจึงมีหลอดไฟ กลัวมองไม่เห็นจึงมีแว่นตา และในยุคที่โลกย้ายมาอยู่ในจอ ความกลัวรูปแบบใหม่ก็ผุดขึ้นเป็นรายวัน ตั
ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุสมบูรณ์เต็มรูปแบบ!!! สสส. สานพลัง Rocket Media Lab เปิดข้อมูลสถานการณ์ผู้สูงอายุ เตือน 3 ปัจจัยเสี่ยง สุขภาพ-เศรษฐกิจ-ที่อยู่อาศัย
ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุสมบูรณ์เต็มรูปแบบ!!! สสส. สานพลัง Rocket Media Lab เปิดข้อมูลสถานการณ์ผู้สูงอายุ เตือน 3 ปัจจัยเสี่ยง สุขภาพ-เศรษฐกิจ-ที่อยู่อาศัย ป่วย NCDs สูง ขาดเงินออม แถม 90% บ้านไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิต กดดันให้สังคมไทยสู่ภาวะเปราะบาง แนะป้องกันปัญหาสุขภาพระยะยาว พร้อมส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันสู่วัยสูงอายุด้วยความภาคภูมิใจ
สสส. เฟ้นสุดยอดนวัตกรรม! 'พื้นรองเท้าอัจฉริยะ เพิ่มกิจกรรมทางกาย-สติ๊กเกอร์ลดบุหรี่-ระบบเฝ้าระวังการขับขี่อัจฉริยะ AI-IoT' คว้ารางวัลชนะเลิศ 'Prime Minister’s Award for Health Promotion Innovation 2025'
สสส. เฟ้นสุดยอดนวัตกรรม! “พื้นรองเท้าอัจฉริยะ เพิ่มกิจกรรมทางกาย-สติ๊กเกอร์ลดบุหรี่-ระบบเฝ้าระวังการขับขี่อัจฉริยะ AI-IoT” คว้ารางวัลชนะเลิศ “Prime Minister’s Award for Health Promotion Innovation 2025” เติมเต็ม “จักรวาลสุขภาวะ” เยาวชน-สตาร์ทอัพ-ภาคีเครือข่าย-ประชาชนทั่วไป 178 ทีมทั่วประเทศ ส่งไอเดียประชันนวัตกรรมลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ-ลดป่วย NCDs “รองนายกฯ โสภณ” ปลื้มผลงาน 7 ปี สสส. ปั้นนวัตกรไทย 1,660 ทีม พัฒนานวัตกรรมสุขภาพตอบโจทย์สังคม สร้างสภาพแวดล้อมเอื้อคนไทยมีสุขภาวะดีอย่างยั่งยืน
เยาวชนพิการ กทม. เรียนดี มีงานทำ มหกรรมแนะแนวการศึกษาและอาชีพสำหรับคนพิการแห่งเดียวในประเทศไทย
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม มูลนิธิด้วยกันเพื่อคนพิการและสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) เปิดพื้นที่ให้เยาวชนพิการเข้าถึงข้อมูลการศึกษาต่อ ค้นพบศักยภาพ พร้อมสร้างโอกาสการมีงานทำที่มั่นคงในอนาคต ผ่านงาน เยาวชนพิการ กทม. เรียนดี มีงานทำ


