
การเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เมื่อการคาดการณ์ระบุว่าคนไทยจะเดินทางมากกว่าปีก่อนอย่างน้อย 10% ท่ามกลางบรรยากาศการเฉลิมฉลองที่คึกคัก การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และมาตรการผ่อนคลายด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงทดลองใช้ กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคมไทยว่า “ความสุขปลายปี” จะแลกมากับ “ความสูญเสียต้นปี” อีกหรือไม่
ปีใหม่นี้ ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกว่า 30 ล้านคน ขณะเดียวกันคนไทยจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ภาพถนนที่แน่นขนัด รถที่เร่งรีบ และงานเฉลิมฉลองที่ยืดเยื้อข้ามคืน คือความคุ้นชินของสังคมไทยในช่วงปลายปี แต่เบื้องหลังความคึกคักนั้น กลับซ่อนความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางถนนที่ยังเป็นปัญหาเรื้อรัง
ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้เริ่มทดลองใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ เป็นระยะเวลา 180 วัน ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2568 ถึง 1 มิถุนายน 2569 ปรับช่วงเวลาการจำหน่ายให้สามารถขายได้ตั้งแต่เวลา 11.00-24.00 น. และยังคงห้ามขายในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. โดยมีบทลงโทษทั้งจำคุกและปรับสำหรับผู้ฝ่าฝืน แม้จะมีข้อยกเว้นในสนามบินนานาชาติ โรงแรม และสถานบริการตามกฎหมาย แต่การผ่อนคลายดังกล่าวก็ถูกตั้งคำถามว่า จะยิ่งเปิดช่องให้การดื่มเพิ่มขึ้นหรือไม่

ข้อมูลจากภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยสะท้อนภาพที่น่ากังวล เมื่อประเมินว่าประชากรนักดื่มของไทยอาจเพิ่มจาก 28% เป็น 35.2% หรือคิดเป็นนักดื่มกว่า 17 ล้านคนในช่วงเทศกาลยาวต่อเนื่อง การดื่มที่ยืดเยื้อตั้งแต่เช้าจนถึงดึก ไม่ได้หมายถึงแค่ความสนุก แต่หมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นบนท้องถนน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดตัวแคมเปญรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน “ดื่มไม่ขับ คนข้างหลังเป็นห่วง” เพื่อสื่อสารเตือนสติสังคมในช่วงปีใหม่ 2569 โดยชี้ให้เห็นว่า การดื่มแล้วขับไม่ได้ทำลายชีวิตผู้ขับเพียงคนเดียว แต่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงครอบครัว คนใกล้ชิด และผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ

ดร. นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. ระบุว่า แม้สถิติอุบัติเหตุทางถนนของไทยจะมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และลดลงได้มากกว่า 30% ในกลุ่มวัยรุ่น แต่กลุ่มผู้สูงอายุกลับยังเป็นกลุ่มเสี่ยงที่น่าห่วง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่มีการเดินทางหนาแน่น สาเหตุหลักของอุบัติเหตุยังคงหนีไม่พ้น "ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็ว และตัดหน้ากระชั้นชิด" รวมถึงความอ่อนล้าจากการเดินทางไกล
สิ่งที่น่าตกใจคือ กว่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน มักเกิดเหตุไม่ไกลจากบ้านหรือที่พัก ในรัศมีเพียง 5-10 กิโลเมตร ความประมาทช่วงสุดท้ายของการเดินทาง กลับกลายเป็นจุดจบของหลายชีวิต ขณะที่ความเร็วเพียง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้แรงปะทะเทียบเท่าการตกตึก 8 ชั้น และที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เทียบเท่าการตกจากตึก 13 ชั้น คำว่า “ลดความเร็ว = เซฟชีวิต” จึงไม่ใช่แค่สโลแกน แต่คือความจริงที่ต้องตระหนัก

แคมเปญปีนี้ของ สสส. ใช้แนวคิด “ดื่มแล้วขับ ไม่ได้ดับแค่คุณคนเดียว” ถ่ายทอดผ่านสปอตรณรงค์ชุด “ผลกระทบ” เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้น คนที่ต้องรับเคราะห์ไม่ใช่แค่คนหลังพวงมาลัย แต่คือ “คนข้างหลัง” อีกมากมาย ทั้งครอบครัว ผู้โดยสาร และผู้ใช้ถนนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเลยแม้แต่น้อย
ผลกระทบจากการดื่มแล้วขับสามารถแบ่งออกเป็นสามระยะ เริ่มจากระยะสั้น คือการสูญเสียฉับพลัน ครอบครัวอาจต้องเสียเสาหลักและรายได้หลักในพริบตา ระยะกลาง คือภาระค่าใช้จ่ายที่ถาโถม ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมรถ และค่าชดเชยคู่กรณี และระยะยาวที่เจ็บปวดที่สุด คือการฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมที่อาจตกทอดไปถึงลูกเมีย กลายเป็น “มรดกที่ไม่มีใครอยากได้” และอาจทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องล่มสลาย

นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการ สคอ. ชี้ว่า แม้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยจะอยู่ที่ราว 17,000 คนต่อปี ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยบางประเทศ แต่ยังห่างไกลจากเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกที่ตั้งไว้ไม่เกิน 8,000 คนต่อปี ประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและความรับผิดชอบร่วมกันของผู้โดยสาร สามารถลดความสูญเสียได้จริง

ขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคม โดย นายวิษณุ ศรัทะวงศ์ เปิดเผยว่า มูลนิธิเครือข่ายพลังสังคมทำหน้าที่เป็นด่านหวังดี ได้ขยายการทำงานเชิงรุกในชุมชน เฝ้าระวังพื้นที่จัดงานเฉลิมฉลองที่อาจมีการส่งเสริมการขายแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น พร้อมขยาย “ด่านหวังดี” ในกรุงเทพมหานครจากพื้นที่นำร่อง สู่ 12 เขต 72 ชุมชน เพื่อช่วยกันดูแลไม่ให้คนเมาออกไปเสี่ยงชีวิตบนท้องถนน
ท่ามกลางความกังวล ยังมีตัวอย่างทางเลือกที่สร้างความหวัง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี การเฉลิมฉลองแบบวัฒนธรรมท้องถิ่นไร้แอลกอฮอล์ หรือแม้แต่ร้านอาหารในจังหวัดศรีสะเกษที่จัดที่พักราคาย่อมเยาให้ลูกค้าที่ดื่มแล้วได้นอนพัก แทนการปล่อยให้ขับรถกลับบ้าน จนกลายเป็นบทเรียนของความรับผิดชอบร่วมกัน

ปีใหม่อาจเป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น แต่ทุกการตัดสินใจบนท้องถนนอาจเป็นจุดจบของใครบางคนได้เช่นกัน เมื่อการเดินทางเพิ่มขึ้น การดื่มเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงก็ยิ่งทวีคูณ คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “จะฉลองอย่างไรให้สนุก” แต่คือ “จะกลับบ้านอย่างไรให้ทุกคนยังมีลมหายใจรออยู่ข้างหลัง”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปีใหม่ต้องปลอดภัย ! “รมว.นฤมล” เปิดโครงการ อาชีวะ–ขนส่ง อาสา ปีที่ 11 ตั้ง 150 ศูนย์ทั่วไทย ดูแลทุกเส้นทาง ลดอุบัติเหตุ พาคนไทยกลับบ้านอย่างปลอดภัย
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 29 ธ.ค.68 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการ “อาชีวะ–ขนส่ง อาสาช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ 2569”โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้บูรณาการความร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน
แห่ฝากบ้านกับตำรวจ 3 พันหลัง 'บิ๊กต่าย' สั่งตรวจตราเข้ม
พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2569 นี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
ไม่ทิ้งเด็กไว้ข้างหลัง! หนุนแนวทางฟื้นฟูกายใจกลางวิกฤตภัยพิบัติและสงคราม
สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดเวทีสื่อสาร “แนวทางการดูแลและฟื้นใจเด็กในภาวะภัยพิบัติ-สงคราม” หวังก้าวผ่านผ่านวิกฤตเยียวยาฟื้นฟูทั้งทางกายและจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบ

