'ดร.เอ้' ถอดบทเรียน 5 ข้อ อเมริกา รับมือเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียน อย่างไร

'ดร.เอ้' ถอดบทเรียน 5 ข้อ อเมริกา รับมือการกราดยิงในโรงเรียนอย่างไร ชี้มีการ ตั้งศูนย์โรงเรียนปลอดภัยแห่งชาติ ตรวจอาวุธในสถานศึกษา ออกแบบโรงเรียนป้องกันผู้บุกรุก พัฒนาเทคโนโลยีปลอดภัย และเพิ่มนักจิตบำบัด

7ต.ค.2565 - ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และอดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง อเมริกา รับมือการกราดยิงอย่างไร? มีเนื้อหาดังนี้

อเมริกาประสบเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียน และในมหาวิทยาลัย มากที่สุดในโลก เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง สร้างความกดดันทางการเมือง จนเกิดนโยบาย และวิธีการป้องกันวิธีการใหม่ หลายวิธี น่าเรียนรู้
ผมขอสรุปเล่าใหัทุกท่านฟัง เพื่อแลกเปลี่ยน เพื่อนำไปสู่การป้องกันเหตุสลด #กราดยิงหนองบัวลําภู ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในสังคมไทย

บทเรียนของอเมริกา ได้ดำเนินการ 5 ข้อ เพื่อป้องกันการกราดยิง ดังนี้

1. ตั้ง "ศูนย์โรงเรียนปลอดภัยแห่งชาติ"
มีหน้าที่ ให้คำแนะนำ ประเมิน ระดมความคิดเห็น และทำงานวิจัยเพื่อนำเสนอวิธีการจัดการ รวมทั้งนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อทำให้โรงเรียนปลอดภัย
ที่น่าสนใจมากคือ ศูนย์แห่งนี้มีฐานข้อมูลความเสี่ยงและบุคคลอันตรายทั้งอเมริกา รวมทั้งแจ้งเหตุไปยังสถานศึกษาทั่วประเทศ พร้อมประสานหน่วยงานความมั่นคงมและทุกหน่วยงาน ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ
เรียกได้ว่า คือมาตรการการป้องกัน "ครบวงจร" และได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลกลางต่อเนื่อง

2. ตรวจอาวุธในสถานศึกษา "เข้มงวดที่สุด โทษรุนแรง"
แม้ว่าผู้ก่อเหตุ เป็นได้ทั้ง "คนใน" และ "คนนอก" แต่คนในอาจน่ากลัวที่สุด เช่น เหตุกราดยิงในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งรัฐเวอร์จิเนีย ผู้ก่อเหตุเป็นนักศึกษาปริญญาตรีของที่นั่นเอง และมีกรณีเด็กนักเรียนยิงเพื่อนหลายครั้งในโรงเรียนอเมริกัน
อเมริกาเป็นประเทศที่ซื้ออาวุธปืนอย่างเสรีในหลายรัฐ โดยเฉพาะทางใต้ และแตะต้องเรื่องนี้ไม่ได้เลย เขาถือเป็นสิทธิพื้นฐานในการป้องกันตนเอง
แต่การมีอาวุธในโรงเรียน เขาก็ "ยอมไม่ได้" เช่นกัน หลายรัฐออกกฏหมายเขตควบคุมอาวุธเข้มงวดที่สุด ห้ามอาวุธในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัย ตรวจละเอียด โทษรุนแรง ป้องปรามเต็มที่
เพื่อการันตี "โรงเรียนต้องปลอดอาวุธ" ลดความเสี่ยงได้มาก

3. ออกแบบโรงเรียน "เน้นการป้องกันผู้บุกรุก และการหนีภัย"
รัฐบาลกลางอเมริการะดมสถาปนิกชั้นนำ เสนอแบบให้โรงเรียนทุกแห่ง เพื่อป้องกันอันตรายจาก "ผู้บุกรุก" เข้ามากราดยิงเด็ก เช่น
ห้องเรียนต้องอยู่ด้านใน ประตูสองชั้น มีรหัสผ่าน มีแนวตรวจอาวุธ มีแนวที่ตั้งตรวจการณ์ของรปภ.
มีประตูหนีภัยติดห้องเรียน ออกได้อย่างเดียว เข้าไม่ได้ หลักการคล้ายประตูหนีไฟ มีระบบล็อกห้องทั้งโรงเรียนอัตโนมัติ ผู้บุกรุกหากเข้ามาได้ จะถูกล็อกในโถงทางเดิน เข้าไปทำร้ายเด็กไม่ได้
กายภาพทุกอย่างของอาคาร ทั้งภายในและภายนอก ต้องพิจารณาเรื่องนี้ ในการขออนุญาตก่อสร้าง และเปิดใช้งานโรงเรียน
ช่วยป้องกันคนร้ายเข้าถึงตัวเด็ก และหนีภัยได้ปลอดภัย ได้ดีขึ้นอีกระดับ

4. พัฒนา "เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย"
ผมเคยไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน สุดยอดวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ท๊อปของโลก ที่ร่วมมือกับพระจอมเกล้าลาดกระบัง มีห้องทดลองวิจัยด้านการตรวจจับใบหน้าคนร้าย และตรวจอาวุธด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI แม่นยำมาก แม้แอบพกซ่อนอาวุธ
ได้เงินสนับสนุนจาก เอฟบีไอ หรือ สำนักการสอบสวนกลาง องค์กรรัฐบาลกลางที่ต้องการใช้เทคโนโลยีระดับสูง ทั้งตรวจจับพฤติกรรมคนร้าย แม้ซ่อนปืน หากกล้องบนถนนตรวจจับได้แถวโรงเรียน จะแจ้งเหตุฉุกเฉิน เข้าสู่กระบวนการจัดการทันที ตำรวจก็มาเข้ารวบในไม่กี่นาที ไม่ทันได้ลั่นไก
ปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันคนร้าย พัฒนาไปไกลมาก ไม่ใช่เพียงแค่กล้องอัจฉริยะและระบบแจ้งเตือนผ่านมือถือ ช่วยป้องชีวิตคนได้

5. เพิ่มนักจิตบำบัด "ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์"
แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่โรงเรียนหรือที่มหาวิทยาลัยในอเมริกาต้องมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาประจำ ผมเคยเรียนหนักจนเครียดมาก อยู่ลำพัง ไม่มีใคร แต่รอดมาได้ก็เพราะนักจิตวิทยาประจำมหาวิทยาลัยนี่แหละ ช่วยไว้
เมื่อครั้งอยู่พระจอมเกล้าลาดกระบัง ก็เริ่มให้บริการศูนย์จิตวิทยา ช่วยให้นักศึกษารอดจากอาการซึมเศร้าได้ไม่น้อย ก่อนจุดอันตราย
รู้เลยว่าปัญหาสุขภาพจิต เป็นกันได้ทุกคน
คำถาม คือ จะทำอย่างไรให้มีนักจิตบำบัด มากเพียงพอที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ได้ฟรี

อเมริกา สร้างกลุ่มอาสาสมัครบำบัดสุขภาพจิตทุกชุมชน ใครมีปัญหา เลิกงานล้อมวงกัน พูดคุยกัน รัฐจัดสถานที่ จัดผู้เชี่ยวชาญอบรม ทำจริงจัง ได้ผลมาก เพราะชาวบ้านเข้าถึงได้ ลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้เยอะมาก

ยังมีอีกหลายนโยบายที่เสนอในอเมริกา แต่ยังมีข้อถกเถียงรุนแรง เช่น การติดอาวุธครู และการลดทอนสิทธิพลเมืองหลายรูปแบบ ผมจึงขอละไว้ ไม่เขียนถึงตรงนี้ครับ

ผมหวังว่า 5 การดำเนินการของอเมริกา จะได้เป็นประโยชน์ เป็นความรู้ ให้สังคมไทย ได้ไม่มากก็น้อยครับ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ดร.เอ้' สลดใจรัฐล้มเหลวแก้ปัญหา 'กากแคดเมียม' ตั้งแต่ต้นจนจบ จี้ถามผู้รับผิดชอบ 4 ข้อ

ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เรื่อง ปัญหากากแคดเมียม ความล้มเหลวของรัฐ ตั้งแต่ต้น จนจบ(ไม่)ลง มีเนื้อหาดังนี้

'ดร.เอ้' ไม่เห็นด้วย วิธีขนย้าย 'แคดเมียม' ของรัฐบาล แนะรีบทำ 4 ข้อ ด่วน!

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ไม่เห็นด้วยกับการเตรียมขนย้ายกากแคดเมียมกลับไปยังบ่อฝังกลบที่ จ.ตาก ที่รัฐบาลให้ข้อมูล

'ดร.เอ้' ลงพื้นที่พญาไท รับฟังปัญหาผังเมืองใหม่ ประชาชนสุดช้ำ แนะผู้ว่าฯ ต้องจริงใจ

ดร.เอ้ ลงพื้นที่พญาไท รับฟังปัญหาผังเมืองใหม่ ประชาชนสุดช้ำ แนะผู้ว่าฯ ต้องจริงใจ เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม อย่าเอื้อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

'ดร.เอ้' กระทู้ถาม เมื่อมันสมอง 'เวียดนาม' ชั้นยอดกำลังกลับบ้าน รัฐไทยจะแข่งขันได้อย่างไร

'ดร.เอ้'กระทู้ถาม เมื่อมันสมองเวียดนามชั้นยอด กำลังกลับบ้าน เวียดนาม น่ากลัวเกินกว่าที่เราคิด รัฐไทยเราจะสู้ แข่งขันได้อย่างไร ให้เด็กไทยได้รับการพัฒนา ยกระดับทักษะ เพื่ออยู่รอดได้

'ดร.เอ้' ชงประกาศ 'กำหนดเขตมลพิษต่ำ' ลดควันดำกรุงเทพชั้นใน ได้อากาศสะอาดคืนมา

'ดร.เอ้' เสนอ ประกาศ'กำหนดเขตมลพิษต่ำ' ลดควันดำกรุงเทพชั้นใน ได้อากาศสะอาดคืนมา เชื่อเป็นเป้าหมายและวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

คนไม่เท่ากัน 'นักวิชาการ' ฟาดสื่อไทยเลือกปฏิบัติ กรณี 'พี่เอ้' กับ 'พี่ทิม' ที่โป๊ะแตกโกหกสารพัด

'ดร.อานนท์' ฟาดสื่อมวลชนไทยเลือกปฏิบัติ กรณี'พี่เอ้'พูดว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของหลานไอน์สไตน์ครั้งเดียวโดนเล่นงานไม่ได้ผุดได้เกิน แต่ 'พิธา' ถูกจับโป๊ะแตกว่าขี้โม้โกหกสารพัด แต่ส่วนใหญ่ไม่นำเสนอเล่นงาน