'อังคณา' กังวลครม.ออกพรก.เลื่อนการบังคับใช้พรบ.ป้องกันการอุ้มหาย ชี้เป็นการชะลอการบังคับใช้บทบัญญัติในมาตราที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมด จี้รัฐบาลเร่งให้สัตยาบันอนุสัญญาการบังคับสูญหายขององการสหประชาชาติ
15ก.พ.2566- จากกรณี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เห็นชอบร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 เพื่อขยายกำหนดเวลาในการมีผลใช้บังคับเฉพาะมาตรา 22 มาตรา 23 มาตรา 24 และมาตรา 25 ออกไป ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2566 เป็นต้นไป (จากเดิมที่เริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566)
นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเรื่องดังกล่าวมีเนื้อหาดังนี้
สิ่งหนึ่งที่ครอบครัวคนหายต้องเผชิญ คือ #การไม่ยอมรับจากรัฐว่าบุคคลนั้นถูกทำให้สูญหาย #ทำให้บรรดาผู้สูญหายอยู่ภายนอกการคุ้มครองของกฎหมาย #TortureEDAct
ในฐานะเหยื่อการบังคับสูญหาย และอดีตกรรมาธิการร่าง #พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 รู้สึกกังวลอย่างยิ่งต่อการที่คณะรัฐมนตรีมีมติออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อเลื่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ ในหมวด 3 มาตรา 22- 25 ออกไปโดยจะให้มีผลบังคับใช้ทั้งฉบับในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เนื่องจาก สาระสำคัญของมาตรา 22 -25 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันการทรมานและการบังคับบุคคลสูญหาย เช่น การบันทึกการจับกุม ควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ การบันทึกภาพและเสียงขณะจับกุม การบันทึกข้อมูลของผู้ถูกจับกุม รวมถึงการให้ญาติ ผู้แทนหรือทนายความ หรือคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ มีสิทธิร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ ของรัฐผู้รับผิดชอบให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว หากเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว ผู้ร้องขอมีสิทธิยื่นคําร้อง ต่อศาลที่ตนเองมีภูมิลําเนา ศาลอาญาหรือศาลจังหวัดแห่งท้องที่ที่เชื่อว่ามีการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือพบเห็นผู้ถูกกระทำให้สูญหาย ครั้งสุดท้าย แล้วแต่กรณี เพื่อให้ศาลสั่งเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวได้ (มาตรา 24) .. สรุปง่ายๆ คือ ครม. มีมติชะลอการบังคับใช้บทบัญญัติในมาตราที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมด
.
อย่างไรก็ดี แม้มาตรา 22-25 จะถูกชะลอการบังคับใช้ แต่ก็หวังว่าเจ้าหน้าที่จะเดินหน้าปฏิบัติตามมมาตราอื่น ๆ โดยเฉพาะมาตรา #มาตรา10 “ในคดีความผิดฐานกระทำให้บุคคลสูญหายตามมาตรา ๗ ให้ดำเนินการ สืบสวนจนกว่าจะพบบุคคลซึ่งถูกกระทำให้สูญหายหรือปรากฏหลักฐานอันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้น ถึงแก่ความตายและทราบรายละเอียดของการกระทำความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด” ... นั่นคือ #การสืบสวนกรณีผู้ถูกบังคับสูญหาย ในประเทศไทยทุกคน #จนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรม และ #รายละเอียดของการกระทำความผิด และ #รู้ตัวผู้กระทำความผิด
.
นอกจากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีภาระผู้พันที่ต้องปฏิบัติตามมาตราอื่น เช่น มาตรา 1-4 รวมถึงในหมวดที่ 1 (บททั่วไป) คือมาตราที่เกี่ยวข้องกับ คำจำกัดความ /นิยามต่างๆ รวมถึง #หลักการไม่ผลักดันบุคคลสู่อันตราย (มาตรา 13) และหมวดที่ 2 เรื่อง #คณะกรรมการ โดยที่คณะกรรมการทั้งหมดตาม พรบ. ที่ปรับแก้โดย สว. คณะกรรมการมาจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจากการแต่งตั้งของคณะรัฐมนตรี รวมถึงผู้มีประสบการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน เป็นที่ประจักษ์ 2 คน ซึ่งน่าจะพอเดาออกว่าจะเป็นใคร .. ในส่วนคณะกรรมการ หวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะแต่งตั้งคณะกรรมการให้สอดคล้องกับ #ข้อห่วงใยของคณะกรรมการการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ ขององค์การสหประชาชาติ (#CEDAW) ที่มีคำถามเชิงประเด็น (List of Issues CEDAW Pre Session -LoIs) ถึงประเทศไทยในเรื่องคณะกรรมการตาม พรบ. ฉบับนี้ เกี่ยวกับการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิง ว่า
- “รัฐภาคี (ประเทศไทย) จะมีหลักประกันอย่างไรว่า #คณะกรรมการว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลสูญหาย #จะมีสัดส่วนที่เท่าเทียมทางเพศ และ #โปรดแจ้งแผนการปรับปรุง พรบ. ฉบับนี้ เกี่ยวกับ #การนิรโทษกรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิด และ #การรับฟังพยานหลักฐานที่ได้จากการทรมาน เพราะ #ข้อยกเว้นนี้อาจสร้างความเสียหายต่อผู้หญิง” และ “รับประกันว่าผู้หญิงที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือผู้หญิงที่สามีถูกทำให้สูญหายสามารถเข้าถึงการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพและได้รับความยุติธรรม”
จากนี้รัฐบาลควรแสดงเจตจำนงทางการเมือง (political will) ในการคุ้มครองบุคคลจากการทรมานและการบังคับสูญหายตาม #กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยรีบเร่งดำเนินการ #ให้สัตยาบันอนุสัญญาการบังคับสูญหายขององการสหประชาชาติ (#ICPPED) ตามที่ให้คำมั่นโดยสมัครใจต่อสภาคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ (UPR) เพื่อให้คณะกรรมการสหประชาชาติ (CED) สามารถตรวจสอบสถานการณ์การบังคับสูญหายในประเทศไทย และให้การคุ้มครองเหยื่อและครอบครัวตามกฎหมายระหว่างประเทศต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อังคนา' เผยสหประชาชาติจี้ไทยรับผิดชอบการสูญหายของ 'ทนายสมชาย' เมื่อ20ปีก่อน
นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นักเคลื่อนไหวสตรี ภรรยาของนายสมชาย นีละไพจิตร นักกฎหมายและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนมุสลิมชาวไทยที่หายสาบสูญ โพสต์ข่าวสารจากเว็บไซต์ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ว่า
กสม. ชี้ผู้ต้องขังร้องเรียนถูกตร.ปปส.ทำร้ายร่างกายระหว่างจับกุมเป็นการละเมิดสิทธิฯ
กสม. ชี้ กรณีผู้ต้องขังร้องเรียนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดทำร้ายร่างกายระหว่างจับกุม เป็นการละเมิดสิทธิฯ เสนอให้สอบสวนและเยียวยาความเสียหาย
กสม.ชี้กรมอุทยานฯเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเขื่อนศรีนครินทร์ช้า เป็นละเมิดสิทธิฯ
กสม. ชี้กรมอุทยานฯช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ ช้าถึงห้าสิบปีเป็นการละเมิดสิทธิฯ เสนอ ครม. เร่งแก้ไข
'กสม.' เรียกร้องทุกฝ่าย แก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนใน 'ฉนวนกาซา' อย่างเร่งด่วน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา ใจความว่า
'แอมเนสตี้' จี้ทางการไทยคืนความยุติธรรมเหยื่อเหตุการณ์ตากใบ ในวาระครบรอบ 19 ปี
แอมเนสตี้ ออกแถลงการณ์ ในวาระครบรอบ 19 ปี เหตุการณ์ตากใบ มีเนื้อหาดังนี้
กสม. ชี้ตรวจหาสารเสพติดในสถานประกอบกิจการแบบเหมารวม เป็นการละเมิดสิทธิฯ
กสม. ชี้ การตรวจหาสารเสพติดในสถานประกอบกิจการแบบเหมารวมหรือสุ่มตรวจ เป็นการละเมิดสิทธิฯ เสนอทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไข