'รัศมิ์-ทูตนอกแถว'ชี้สหรัฐไม่เชิญไปร่วมการประชุมสุดยอดประเทศปชต. ตอกย้ำถึงสถานะความตกต่ำของไทย เป็นได้แค่เพียงประเทศเผด็จการในคราบประชาธิปไตยง่อยๆ ที่หมดความสำคัญลงไปเรื่อยๆในสายตาชาวโลก
26 พ.ย.2564- นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ เจ้าของเพจทูตนอกแถว และอดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง บทพิสูจน์ความล้มเหลวด้านการต่างประเทศ มีเนื้อหาดังนี้
-
หลายคนคงเห็นข่าวไทยตกขบวน(อีกตามเคย) ที่สหรัฐฯเขาไม่เชิญไปร่วมการประชุมสุดยอดประเทศประชาธิปไตย ที่ค่อนโลกได้รับเชิญ ซึ่งจะมีขึ้นเดือนหน้า (แล้วก็ไหนเห็นคุยนักคุยหนาว่าระหว่างประชุม COP 26 ลุงยามแถวนี้ได้ไปสนทนากับบรรดาผู้นำโลกอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง แต่ไหงไม่ทันไรเขาพากันเมินหน้าหนีล่ะ)
-
ซึ่งจริงๆแล้ว ในสภาพปัจจุบันถ้าหากไทยได้รับเชิญด้วย นั่นสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก และนี่ก็คือการตอกย้ำถึงสถานะความตกต่ำของไทย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตยในภูมิภาคนี้
-
นอกจากประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ไม่กี่ประเทศ ก็มีพวกประเทศที่อ้างว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย แต่คนอื่นเขาจะเห็นด้วยหรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่อง ที่สหรัฐฯ เขาไม่เชิญ
-
และเชื่อว่าเดี๋ยวก็คงจะมีคนออกมาแก้ตัวว่าแม้แต่ประเทศเช่นสิงคโปร์ก็ไม่ได้รับเชิญ แต่ขอร้องเลยครับ อย่าเอาประเทศเราไปเปรียบเทียบสิงคโปร์เพราะมันไม่มีอะไรไปเปรียบเขาได้ โดยเฉพาะด้านคุณภาพชีวิต ความกินดีอยู่ดีของประชาชน มันต่างกันมาก และที่สำคัญเราไม่ได้มีผู้นำที่ชาญฉลาด มีวิสัยทัศน์ มีความเสียสละแบบเขา
-
แต่สิ่งที่ผมอยากบอก และเคยพูดไปแล้ว ว่าในสังคมโลกปัจจุบันนั้น ประชาธิปไตยมันคือบรรทัดฐานทั่วไปของการคบค้าสมาคมกัน ซึ่งมันรวมไปถึงการทำธุรกิจ การค้า การลงทุนต่างๆที่ต้องมีปัจจัยเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ธรรมาภิบาล รวมทั้งสิทธิต่างๆของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทั้งหมดนี้มันผูกโยงเข้ากับเรื่องความเป็นประชาธิปไตยทั้งสิ้น และเป็นเครื่องยืนยันว่าทุกวันนี้ประชาธิปไตยมันเป็นสิ่งที่กินได้แน่นอน เพราะนี่คือเงื่อนไขหลักที่โลกเขาใช้เป็นเกณฑ์ในการคบหา ค้าขาย ลงทุน
-
ดังนั้นการที่เราไม่ได้เป็นประชาธิปไตยแท้จริง จึงทำให้เราพลาดโอกาสเหล่านี้ รวมทั้งไม่สามารถพัฒนาประเทศได้ และยิ่งเมื่อไร้ซึ่งความสามารถในการบริหารและวิสัยทัศน์ใดๆ จึงทำให้เป็นได้แค่เพียงประเทศเผด็จการในคราบประชาธิปไตยง่อยๆ ที่หมดความสำคัญลงไปเรื่อยๆในสายตาชาวโลก
-
แล้วก็พอดีเห็นคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ด้วยการยอมรับอย่างไม่ต้องอายอีก ถึงสภาพความเป็นเผด็จการในคราบประชาธิปไตยง่อยๆอย่างที่ว่า ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าที่ผ่านมาหกเจ็ดปีคือความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของด้านการต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมาการต่างประเทศไทยแทบไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการคอยแถแก้ตัวขุ่นๆไปวันๆ แต่โลกเขาไม่ได้หูหนวกตาบอด และนี่ก็คือสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นความล้มเหลวจนตัวเองหมดปัญญาจะแก้ตัว จนต้องออกมารับสภาพ
-
อยู่มาไม่เคยมีผลงานความคิดริเริ่มอื่นใดอีกในด้านต่างประเทศที่เป็นยอมรับ ไม่เคยทำอะไรให้เป็นที่น่าเชิดชูตาให้คนไทยได้ภาคภูมิใจ นอกจากความขายขี้หน้าแทน
-
เอาเถอะครับ เกาะเก้าอี้ไว้ให้แน่นแล้วกัน เพราะนอกจากตำแหน่งแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอีก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ขำไม่ออก! อดีต รมว.กต. โวรัฐบาลอิ๊งค์เจรจาสหรัฐ-จีน กดดันกัมพูชาเคารพข้อตกลงสันติภาพได้สำเร็จ
"มาริษ" แนะดึงจีนร่วมกดดันกัมพูชาให้เคารพข้อตกลง-รักษาสมดุลมหาอำนาจ-สื่อสารสหรัฐฯ โดยตรงไม่ผ่านคนกลาง
ลั่นไทยไม่ใช่นักเรียนประถม! จวกสหรัฐทำตัวเป็นครูใหญ่ถือไม้เรียวขู่
จวกสหรัฐอเมริกาใช้กำแพงภาษีขู่ไทยเหมือนครูใหญ่คุมเด็กประถม พร้อมชี้ไทยไม่ใช่สนามเด็กเล่นของวอชิงตัน และอธิปไตยไม่ใช่ของแลกผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์กับใครทั้งนั้น
ดร.กิตติธัช มองระงับเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ แค่แสดงอำนาจสไตล์อเมริกา ไม่เกี่ยวปมเขมร
นักวิชาการ มองในเชิงการเมืองระหว่างประเทศจะเห็นได้ชัดว่า สหรัฐฯ จงใจเลือกเล่น "เกมแสดงอำนาจ" ให้เห็นในช่วงเวลาที่ไทยกำลังกระชับสัมพันธ์การทูต
นักวิชาการแนะนายกฯ ตั้งคณะทำงานรับมือ MOUแร่แรร์เอิร์ธ
'นักวิชาการสิ่งแวดล้อม' แนะนายกฯ ตั้งคณะทำงานศึกษา-รับมือ เอ็มโอยูสหรัฐรุกไทยแร่หายาก ค้านตั้งเหมือง เต็มที่แค่ตั้งโรงงานสกัด เหตุเสี่ยงเจอมลพิษ สารปนเปื้อน กัมมันตภาพรังสี
'ศรีญาดา' ชี้ MOU แรร์เอิร์ธเข้าข่ายหนังสือสัญญา!
'ศรีญาดา'จี้ 'นายกฯ หนู' ชี้แจง MOU แรร์เอิร์ธ เข้าข่ายหนังสือสัญญา ต้องให้สภาฯ พิจารณา เหตุกังวลข้อตกลงสำรวจ เสี่ยงกระทบความมั่นคง


