‘จตุพร’ ชี้‘ก้าวไกล’ มาแรงทุกโพล เหตุจุดยืนชัดไม่ลมเพลมพัดเหมือน ‘พท.’

จตุพร พรหมพันธุ์

‘จตุพร’ทึ่งก้าวไกลมาแรงทุกสำนักโพล ชี้ปัจจัยจุดยืนชัดเจน มั่นคง ประกาศตรงไปตรงมาทุกพื้นที่ตรงกันมีเราไม่มีลุง ส่วนเพื่อไทยจุดยืนยังลมเพลมพัดไปเป็นความเห็นส่วนตัวของคนพูด ยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้น เชื่อก้าวไกลคือคู่ชิงเสียงเพื่อไทยตัวจริง เมื่อก้าวไกลพุ่งแรง เพื่อไทยยิ่งถูกฉุดกระชากเสียงให้แผ่วลง

1 พ.ค.2566-นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ลมลมแล้งแล้ง” ชำแหละสถานการณ์เลือกตั้งของพรรคฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตย ซึ่งก้าวไกลแข่งขันชิงเสียงดุเดือดกับเพื่อไทย โดยพรรคแสดงจุดยืนมั่นคงมาแรงแซงเสียงทุกสำนักโพลแทบเบียดกับเพื่อไทยที่มีแต่พฤติกรรมการเมืองแบบพรรคลมเพลมพัด

นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองโค้งสุดท้ายในอีก 10 วันที่เหลือยังไม่มีอะไรแน่นอน แต่สถานการณ์ขณะนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ พรรคก้าวไกลมาแรงแทบทุกสำนักโพล ยิ่งโพลมติชนกับเดลินิวส์รายงานผลสำรวจรอบ 2 ระบุพรรคก้าวไกลทิ้งขาดทุกพรรคการเมือง คะแนนนิยมเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ มีมากกว่าเสียงเลือกอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร บวกกับนายเศรษฐา ทวีสิน สองแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย

นอกจากนี้ โพลของสำนักอื่นๆ แม้นายพิธา ตามหลังอุ๊งอิ๊ง แต่คะแนนกลับแสดงนัยยะสำคัญว่ามีเสียงเพิ่มมากขึ้น จนไล่ตามมาติดๆ ไม่ได้ทิ้งห่างเหมือนช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตาม คะแนนนิยมนายพิธา และพรรคก้าวไกลเพิ่มมากตามลำดับนั้น เนื่องจากความได้เปรียบจากการแสดงบทบาทฝ่ายค้าน ไม่เคยเป็นรัฐบาลมาก่อน และมีจุดยืนทางการเมืองชัดเจน มั่นคงกับ “มีเราไม่มีลุง” ส่วนพรรคเพื่อไทยจุดยืนกลับลมเพลมพัด แปรปรวนมากความสงสัย

นายจตุพร กล่าวว่า การช่วงชิงความนิยมทางการเมืองยังอยู่ในฐานฝ่ายพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยเป็นหลัก โดยพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลต้องชิงเสียงในตลาดการเมืองเดียวกัน ถ้าคาดคะเนพรรคเพื่อไทยได้เสียงเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัวจากปี 2562 เป็น 16 ล้านเสียง เทียบคำนวณระบบปาร์ตี้ลิสต์อาจได้ 45 คน ซึ่งมากกว่าการเลือกตั้งปี 2562 เท่าตัว ส่วนพรรคก้าวไกล เมื่อปี 2562 เสียงพรรคได้ 6 ล้านคน ปาร์ตี้ลิสต์ได้ 51 คน คิดเทียบตามสัดส่วนระบบบัตรสองใบจะเหลือปาร์ตี้ลิสต์เพียง 17 คน หากในปี 2566 เสียงพรรคเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 12 ล้านเสียง ย่อมได้สัดส่วนปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มขึ้นเป็น 34 คน นอกจากนี้ ส.ส.เขตเมืองยังมาแรงชนิดหายใจรดต้นคอพรรคเพื่อไทยจนสั่นสะท้านกัน

“การที่พรรคก้าวไกลแรงขึ้นทุกวัน เนื่องจากไม่มีแผลการทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะยังไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ไม่เคยเป็นรัฐบาล แต่มีความชัดเจนในจุดยืนทางการเมืองของพรรค โดยเฉพาะจุดยืนไม่จับมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตั้งรัฐบาล”

นายจตุพร กล่าวว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดีเบตในรายการของจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ แม้สะท้อนความรู้สึกส่วนตัวของหัวหน้าพรรคจะไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) แต่หลังเลือกตั้งแล้ว มติของกรรมการบริหารพรรคเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นแสดงถึงอำนาจของหัวหน้าพรรคไม่ได้เบ็ดเสร็จ จนให้พรรคต้องยึดถือ

ส่วนพรรคก้าวไกล แสดงความชัดเจนมาตั้งวันแรก เพราะเป็นมติกรรมการบริหารพรรคไม่จับมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร พร้อมอธิบายขยายการสื่อสารให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นว่า “มีลุงไม่มีเรา” ซึ่งสื่อถึงนัยยะหากเพื่อไทยไปจับมือ พปชร. ย่อมไม่มีก้าวไกลไปจับมือร่วมด้วย

ดังนั้น การจับมือกับ พปชร.ยังเป็นปัญหาของพรรคเพื่อไทย จึงแตกต่างจากพรรคก้าวไกลที่มีจุดยืนชัดเจนมั่นคงมาตลอด ไม่ว่าใครจะพูดที่ไหนก็พูดตรงกันหมด จึงเชื่อว่า ในเขตเมืองหลายพื้นที่พรรคเพื่อไทยจะเสียเสียงให้พรรคก้าวไกลมากขึ้นตามลำดับ

“การที่พรรคเพื่อไทยไม่ตัดสินใจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบพรรคก้าวไกลนั้น การหาเสียงยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย แม้จะประกาศไม่จับมือ พปชร. และ รทสช. ก็ตาม แต่ไม่ได้เป็นการแถลงด้วยมติกรรมการบริหาร ดังนั้น การประกาศไม่จับมือ พปชร.ก็เป็นเพียงจุดยืนส่วนตัว จึงทำให้การจับมือกับ พปชร.ยังค้างคาใจประชาชนอยู่ และเป็นจุดยืนที่แตกต่างจากพรรคก้าวไกล ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวตรงกันหมดว่า มีลุงไม่มีเรา หรือ มีเราไม่มีลุง

นายจตุพร มั่นใจว่า การเมืองในฝ่ายเสรีนิยม ปชต.นี้ พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล เป็นคู่แข่งขันอย่างสำคัญและเป็นตัวจริง ความแรงของก้าวไกลจะดึงเสียงเพื่อไทยตลอด ยิ่งโพลมติชนคะแนนนิยมนายพิธา นำทิ้งห่างอุ๊งอิ๊งบวกนายเศรษฐา ส่วนพรรคไทยสร้างไทย ก็เสนอทางเลือกใหม่ในสายนี้ แม้จะไม่จับมือกับ พปชร.กับ รทสช.ก็ตาม แต่อาศัยตรึงฐานเสียงเป้าหมายให้แข็งแกร่ง สิ่งสำคัญแล้ว การสื่อสารทางการเมืองขณะนี้พรรคก้าวไกลเหนือกว่าทุกพรรคการเมือง โดยการเลือกตั้งปี 2562 ยังเป็นนักการเมืองหน้าใหม่แทบทั้งพรรค แต่ได้รับเลือกถึง 81 เสียง อย่างไรก็ตาม การทำซ้ำย้ำจุดยืนของพรรคไม่เอา 2 ลุงและการรัฐประหาร ยิ่งทำให้กระแสของพรรคมาแรงเร็วขึ้นตามลำดับ และส่อแนวโน้มว่า ในเขตเมืองพรรคเพื่อไทยอาจเสียพื้นที่ให้พรรคก้าวไกลได้

“ในตลาดเสียงเสรีนิยมแล้ว พรรคเพื่อไทยขณะนี้กระแสนิยมไม่อาจปลุกให้แรงไปกว่านี้ได้อีก ส่วนพรรคก้าวไกลกลับเป็นตรงข้ามสามารถรถพุ่งแรงขึ้น ดังนั้น เสียงความนิยมยิ่งแรงขึ้น ก็ไปฉุดลดเสียงของพรรคเพื่อไทยตกต่ำลงตามไปด้วย สิ่งน่าสนใจคือ ช่วง 10 วันสุดท้ายนี้หากพรรคก้าวไกลแรงมากขึ้น พรรคเพื่อไทยก็จะทรุดลงอย่างหนัก”

นายจตุพรกล่าวว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นสายอนุรักษ์นิยม พรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะได้เสียงมากสุด เพราะการบริหารจัดการภายในพรรคเป็นเอกภาพ พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปัญหาภายในเบาบางลงการหาเสียงจึงเน้นใช้ระบบบริหารจัดการแบบพรรครัฐบาล ส่วน รทสช.กับ พปชร. เมื่อแตกตัวออกมา พร้อมเปลี่ยนระบบเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวมาเป็นบัตรสองใบจึงอ่อนยวบในการแข่งขัน  อีกทั้งเห็นว่า ทุกพรรคการเมืองในช่วงนี้ การลงพื้นที่จะมีความคึกคักในพื้นที่เป้าหมายของตัวเองเท่านั้น พรรคเพื่อไทยไปอีสานคนมาฟังแน่นหนา พรรคก้าวไกลไปภูเก็ตคนล้นหลาม รทสช.คึกคักในภาคใต้ ส่วน พปชร.และภูมิใจไทย รวมทั้งประชาธิปัตย์ จะตื่นตาคนแน่นเฉพาะพื้นที่ตัวเอง ดังนั้น เสียงของพรรคการเมืองจึงมีความแข็งแกร่งในพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนถึงความเข้มแข็งในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

“ดังนั้น พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจะเป็นคู่แข่งขันตลอดไป แล้วกระแสสังคมจะบีบรัดให้ต้องจับมือกันหรือไม่ อีกอย่างเมื่อรวมกันแล้วจะถึง 376 เสียงหรือไม่ ซึ่งเป็นความยากที่สุด แล้วถ้าฝ่ายเสรีนิยมชนะยังต้อเผชิญหน้ากับ ส.ว. 250 ถ้างดออกเสียงก็จะตั้งรัฐบาลไม่ได้ ดังนั้น จึงเดินมาสู่จุดล็อกทางการเมือง รวมทั้งปัจจัยการยุบพรรคจะเข้ามาแทรกซอนกลายเป็นตัวแปรผลการเลอกตั้งหรือไม่ สิ่งนี้จะเป็นพลานุภาพอย่างคาดไม่ถึง”

นายจตุพร กล่าวว่า เวลาหาเสียงอีก 10 กว่าวันที่เหลือ การแย่งชิงคะแนนเสียงระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจะดุเดือดยิ่งขึ้น การโจมตีทั้งที่ลับและเปิดเผยบนเวทีดิเบตจะแหลมคมไม่ไว้หน้ากัน ที่น่าสนใจคือ หลังการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจะเดินงานการเมืองกันอย่างไร ผลลัพธ์หนนี้จึงน่าสนใจ เพราะสภาพการณ์ขณะนี้ พรรคก้าวไกลที่อยู่ฝั่งเดียวกันแต่สามารถหยุดพรรคเพื่อไทยได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผมเชื่อว่าสัปดาห์หน้าจะเริ่มมีปฏิบัติการบางอย่างในช่วงโค้งสุดท้ายเพื่อทิ้งไพ่ชนะหรือพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตาม การเมืองเปลี่ยนกันได้เป็นวันๆ ไป คนชนะวันนี้ไม่ได้หมายความว่าจะชนะในวันที่ 14 พ.ค.

อีกทั้งเห็นว่า คนที่แพ้ในโพลวันนี้ ไม่ได้หมายถึงต้องแพ้ในวันที่ 14 พ.ค.ด้วย ถึงที่สุดของโพลแล้ว ไม่มีโพลไหนดีไปกว่าโพลของพรรคตัวเองทำการสำรวจ ซึ่งจะชี้ถึงการบริหารจัดการด้านลึกในพื้นที่แข่งขันจะเป็นส่วนสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ขณะที่มีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำหน้าที่สุจริตเที่ยงธรรมอย่างดีที่สุดแบบเงียบๆ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประธาน กกต. แจงความคืบหน้าเลือก สว. ชุดใหม่

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. กล่าวถึงความคืบหน้าของระเบียบ และประกาศกกต. เกี่ยวข้องกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า เสร็จไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยมี 1 ฉบับที่ส่งไปแล้ว และอยู่ระหว่างการ