บุกจี้ 'กกต.' เร่งสอบคุณสมบัติ 'พิธา' ปมหุ้นสื่อภายใน 15 วัน

22 พ.ค.2566 - ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 ยื่นหนังสือขอให้ กกต.เร่งตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามสมัครในการลงสมัครเป็น ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตามพระราชบัญญัติ​ประกอบ​รัฐธรรมนูญ​ (พ.ร.ป)​ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 42 (3) จากการถือครองหุ้นบริษัท ITV จำกัด (มหาชน) โดยมองว่าขณะนี้พยานหลักฐานน่าจะครบถ้วนเพียงพอแล้วในการตรวจสอบ อีกทั้งมีผู้ยื่นร้องเรียนหลายคนแล้ว ก่อนหน้านี้ตนได้ยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป แต่ยังไม่ดำเนินการจึงมาเร่งให้ กกต.พิจารณามีมติภายใน 15 วัน โดยวันนี้ได้นำหลักฐานมายื่นเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของ กกต.เชื่อว่าเพียงพอต่อการวินิจฉัย ประเด็นคือการเลิกกิจการหรือไม่เลิกกิจการของบริษัท ITV การถือครองหุ้นสื่อและจำนวนหุ้นของนายพิธา ซึ่งเห็นว่ากิจการอาจจะเลิกในบางส่วน แต่ยังไม่ได้เลิกประกอบการ

อีกทั้งมีเอกสารเชิญผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุมเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 มีการรายงบการเงินประจำปี แสดงให้เห็นว่ากิจการไม่ได้เลิกแต่มีการหยุดประกอบกิจการบางส่วน หยุดซื้อขายหุ้นตั้งแต่ปี 2557 โดยคำสั่งตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นหาก กกต.มีมติว่านายพิธา ถือหุ้นจริง และผิดดังนั้นการรับสมัคร ส.ส.ของนายพิธา ไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่ปี 2562 และต้องตัดสินตั้งแต่ปี 2562 และการเซ็นรับรองผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเป็นโมฆะ ทั้งนี้ตนได้ยื่นให้ กกต.พิจารณาสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของนายพิธาตั้งแต่ 2562 และ 2566และสถานะหัวหน้าพรรคในการลงนามรับรองส่งผู้สมัครของพรรค กรณีรู้อยู่แล้วขาดคุณสมบัติกรณีถือหุ้นสื่อ ซึ่งเข้าข่ายขาดคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้ง ใน ส.ส. มาตรา 42 และมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) รวมทั้ง กกต.ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของพรรคก้าวไกลด้วย

นายนพรุจ กล่าวอีกว่าหากก่อนหน้านี้ กกต.ตัดสิทธิก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ที่โดยตัดสินต้องไปขอคืนสิทธิจากศาลฎีกา เมื่อ กกต.มาพิจารณาหลังเลือกตั้งต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าจะมีการตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งนายพิธาตั้งแต่ปี 2562 หรือไม่ จะเรียกค่าตอบแทนและผลประโยชน์จากการเป็น ส.ส. คืนหรือไม่ รวมถึงการลงนามรับรองให้มีการลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งพรรคสิ้นสุดลงด้วยหรือไม่

“ขอให้ กกต.มีมติชี้ภายใน 15 วัน เดิมการตรวจสอบคุณสมบัติทำภายใน 7 วันหลังจากรับสมัคร แต่เลยนานมาแล้ว และความเสียหายเกิดขึ้นกับ กกต.เอง เพราะว่านายพิธา เป็นแคนดิเดตนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรค และมีกระแสเกี่ยวกับประชาชน ดังนั้นการตัดสินของ กกต.มีผลต่อความขัดแย้ง มีผลต่อประชาชนหลายภาคส่วน” นายนพรุจ กล่าว

ถามว่านายพิธาได้แสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.แล้วนั้น ทนายนพรุจกล่าวว่านายพิธาทราบมานานแล้ว แต่ให้สัมภาษณ์สื่อว่าบิดาเสียชีวิตตั้งแต่ 2549 เพราะฉะนั้นหุ้นจะตกถึงนายพิธาทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1599 รวมทั้งเป็นผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1732 จะต้องโอนสิทธิหรือแจ้งการโอนหุ้น ผลประโยชน์ไปยังทายาทคนอื่นให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีเว้นแต่ศาลสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งนายพิธานั้นได้ทราบอยู่แล้ว อีกทั้งกรณีนี้ต้องตีความว่าบริษัทITV เลิกกิจการแล้วหรือยัง และมีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ รวมถึงนายพิธาทราบหรือไม่ว่ามีถือหุ้นหรือทรัพย์สินที่เป็นสมบัติของบิดา หากดูในการจดรายงานจะมีชื่อของนายพิธาทุกปี มีการเชิญผู้ถือหุ้นประชุม มีการแสดงงบการเงิน รายได้กำไรผู้ถือหุ้น มีการลงนามรับรองการประชุมชัดเจน จึงถือว่ายังไม่มีการเลิกกิจการ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประธาน กกต. แจงความคืบหน้าเลือก สว. ชุดใหม่

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. กล่าวถึงความคืบหน้าของระเบียบ และประกาศกกต. เกี่ยวข้องกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า เสร็จไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยมี 1 ฉบับที่ส่งไปแล้ว และอยู่ระหว่างการ

วุฒิสภา นัดถกรายงานเสนอ กกต. แก้กฎหมายเลือกตั้ง-พรรค ใช้โซเชียลหาเสียง

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมในวันที่ 9 เม.ย. โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจ คือ การพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ สว.

'ธนกร' ติง 'ชัยธวัช' พูดส่งเดช ปม ศาลรธน.ไม่มีอำนาจยุบพรรค

“ธนกร” ติง “ชัยธวัช” เป็นถึงทนายควรดูข้อกม.ให้ชัด อย่าพูดส่งเดช ปม ศาลรธน.ไม่มีอำนาจยุบพรรค มอง ตั้งใจลดทอนความเชื่อมั่นปชช.ต่อศาล ถาม มีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ ชี้ ใครทำผิดต้องยอมรับ ขออย่าก้าวล่วง