อดีตรองอธิการบดี มธ. ชี้ รบ.ดึงดันดิจิทัลวอลเล็ต สุดท้ายพังมีคนติดคุก

29 ต.ค.2566-รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า นโยบาย digital wallet ชักออกอาการรวนเร คณะกรรมการชุดเล็กที่มีคุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์เป็นประธานดูเหมือนจะมีกรรมการบางคนเริ่มยอมรับความจริง ผลลัพท์ของการประชุมจึงออกมาเป็นข้อเสนอให้เลือก 3 ทางเลือก ดังที่เป็นข่าวแล้ว ซึ่งจะขอทบทวนกันอีกทีดังนี้

ทางเลือกที่ 1 ให้เฉพาะผู้ยากไร้ ซึ่งมีประมาณ 15-16 ล้านคน จะใช้เงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ทางเลือกที่ 2 ตัดกลุ่มผู้มีเงินเดือนเกิน 25,000 บาท และ/หรือผู้มีเงินฝากเกิน 100,000 บาทออก จะมีผู้ได้สิทธิประมาณ 43 ล้านคน ใช้เงินประมาณ 4.3 แสนล้านบาท ทางเลือกที่ 3 ตัดกลุ่มผู้มีเงินเดือนเกิน 50,000 บาท และ/หรือผู้มีเงินฝากเกิน 500,000 บาทออก จะมีผู้ได้สิทธิประมาณ 49 ล้านคน ใช้เงินประมาณ 4.9 แสนล้านบาท

ข้อเสนอนี้จะต้องนำเข้าที่ประชุมใหญ่ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อพิจารณาในสัปดาห์หน้า ดูท่าทีนายกรัฐมนตรีที่ตอบคำถามนักข่าวแล้ว มีอาการตะกุกตะกักไม่ค่อยจะเห็นด้วย น่าจะฟันธงได้เลยว่าที่ประชุมใหญ่จะไม่เอาทางเลือกที่ 1 ซึ่งความจริงเป็นทางเลือกที่ไม่มีใครอยากค้าน แต่ที่ไม่เอาก็น่าจะเป็นเพราะนายกรัฐมนตรีและผู้ที่มีอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรีต้องการให้ยึดเกณฑ์เดิมคือให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปทุกคน และดูเหมือนอยากจะให้ใช้เงินให้มากที่สุดคือ 5.6 แสนล้านบาท ด้วยเหตุผลที่อ้างไว้คือ ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในหลุมดำโดยคาดว่า GDP จะโตได้ถึง 5%

อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันดีสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีเพิ่มการใช้จ่าย เป็นวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจที่ให้ผลระยะสั้น ไม่มีผลที่ยั่งยืน ดังที่ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม นักเศรษฐศาสตร์การเงินการคลังที่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปรียบเทียบว่า เหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟที่สว่างวาบแล้วก็จะดับไปอย่างรวดเร็ว นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำชี้ว่า multiplier effect ที่หวังว่าจะเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่หลายรอบนั้น ผลงานวิจัยบอกว่าไม่น่าจะถึง 1 รอบเสียด้วยซ้ำ ดร.พิสิฐยังเห็นว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ให้ผลที่ยั่งยืนนั้นควรเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนมากกว่าการเพิ่มการใช้จ่าย เช่น การดำเนินการโครงการ land bridge ให้เป็นจริงโดยเร็ว น่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษกิจที่ดีกว่า ยั่งยืนกว่า และขณะนี้โดยไม่ต้องมีผลวิจัย ทุกคนสามารถบอกได้ว่า การใช้จ่ายมีความคึกคักกว่าเมื่อปีที่แล้วอย่างเทียบกันไม่ได้ คนที่มองไม่เห็นก็น่าจะเป็นท่านนายกรัฐมนตรีและคนของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น

การแจกเงินมากขนาดนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จะไม่มีใครคัดค้านเลยหากรัฐบาลเกิดมีเงินเหลือเฟือ เช่นขุดพบบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ มีรายได้เพิ่มขึ้นมากจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร แต่จนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเอาเงินมาจากไหน  เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนน่าจะเรียกว่า “คิดใหญ่ ทำเป๋” มากกว่า “คิดใหม่ ทำเเป็น”

ราคาคุยว่า ได้ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้วเป็นที่ประจักษ์ว่าไม่เป็นความจริง เพราะดูเหมือนจะเริ่มมาคิดวิธีการก็เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการนี้ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน

ที่พรรคเพื่อไทยบอกกับกกต ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่าเงินจะมาจากการจัดบริหารงบประมาณปกติ เป็นการพูดเอาเองหรือเรียกได้ “มั่ว” ทั้งเพ เพราะข้อเท็จจริงคือ งบประมาณแผ่นดินในขณะนี้ยังคงเป็นงบประมาณขาดดุล ต้องกู้เงินหลายแสนล้านบาทอยู่แล้ว และยังมองไม่เห็นว่าจะทำงบประมาณสมดุลหรือเกินดุลได้ในปีไหน ดังนั้นจะตัดลดงบประมาณใหม่อย่างไรก็ไม่มีทางได้เงินเพียงพอ หากจะกู้เงินเพิ่มอีก 5.6 แสนล้านบาทในสถานการณ์เช่นนี้ จะเป็นเรื่องอันตรายต่อเสถียรภาพการเงินการคลังอย่างยิ่ง

การแจกเงินเป็น digital token ด้วยเทคโนโลยี block chain ซึ่งต้องใช้เงินพัฒนาขึ้นใหม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้คนกังขา การไม่อนุญาตให้ร้านค้าเปลี่ยนเงิน digital token เป็นเงินบาทได้ก่อน 6 เดือน ทำให้มีร้านค้าขนาดใหญ่สายป่านยาวเท่านั้นที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่ร้านเล็กจะขายของไปก่อนแต่กว่าจะขึ้นเป็นเงินได้ต้องรอ 6 เดือน ดังนั้นหาบเร่แผงลอย และพ่อค้าแม่ค้าในร้านตลาดต่างๆจะไม่มีโอกาสได้อานิสงส์จากโครงการนี้เลย แต่การใช้เงิน digital token และไม่อนุญาตให้เปลี่ยนเป็นเงินบาทได้ก่อน 6 เดือน จะทำให้รัฐบาลสามารถเริ่มต้นดำเนินโครงการได้ก่อนโดยยังไม่ต้องมีเงิน แต่หากครบ 6 เดือนแล้วยังไม่สามารถหาเงินมาได้ รัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ และยังอาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายอีกด้วย

หากในที่สุด นายกรัฐมนตรียังคงดึงดันที่จะดำเนินนโยบาย digital wallet ต่อไปแบบเดิมทุกประการ คงไม่ใช่เป็นเพียงเพราะต้องการทำให้ได้ตามที่หาเสียงไว้เท่านั้นเสียแล้ว แต่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น เพราะขนาดมีนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศ 100 คน  รวมถึงอดีตผู้ว่าและอดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหลายคน ออกมาคัดค้านพร้อมด้วยเหตุผลที่ควรต้องรับฟัง เรียกได้ว่าคนที่เห็นแก่ส่วนรวมและเห็นแก่ประเทศชาติล้วนออกมาคัดค้านก็คงไม่ผิด แต่รัฐบาลก็ยังคงดึงดันต่อไป 

เรื่องนี้ในที่สุดจะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ และมีบางคนต้องโทษจำคุกแบบกรณีจำนำข้าวหรือไม่ เราต้องคอยดูกันต่อไป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จากวังสราญรมย์ถึงตึกไทยคู่ฟ้า “ทูตปู”เลขาฯส่วนตัวทักษิณ สู่ตัวเต็งรมว.ต่างปท.คนใหม่

ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้ารัฐบาล และเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาแค่หนึ่งคืนก็เคาะออกมาแล้วว่าจะดัน ทูตปู มาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตทีมงานหน้าห้อง นายกรัฐมนตรี ตึกไทยคู่ฟ้า สมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

'ศิริกัญญา' มอง 'ขุนคลังคนใหม่' ทำงานได้เต็มที่ ไม่ต้องแบ่งเวลามาเป็นเซลส์แมนประเทศ

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในส่วนของกระทรวงการคลัง ว่า ปรากฎว่ามีรัฐมนตรีในกระทรวงการคลังถึง 4 คน ซึ่งน่าจะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ อันที่จริงกรมในกระทรวงก็มีไม่ได้มากคงแบ่งกันดูแลคนละกรมครึ่ง

'เพื่อไทย' จ่อเคลียร์ใจ 'ปานปรีย์' ชวนนั่งกุนซือพรรค ไม่รู้ 'นพดล' เสียบแทน

'เลขาฯ เพื่อไทย' รับต้องคุย 'ปานปรีย์' หลังไขก๊อกพ้น รมว.ต่างประเทศ แย้มชงนั่งที่ปรึกษาพรรค มั่นใจไม่เกิดแรงกระเพื่อม ปัดวางตัว 'นพดล' เสียบแทน ชี้ 'ชลน่าน-ไชยา' หน้าที่หลักยังเป็น สส.

พท. จัดใหญ่! '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' ตีปี๊บผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา'

'เพื่อไทย' เตรียมจัดงาน '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' สรุปผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา' 3 พ.ค.นี้ เดินหน้าเติมนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน พร้อมเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ.