ป.ป.ช. ชี้มูล 'นพรัตน์' อดีตผอ.สำนักพุทธกับพวก คดีเงินทอนวัดหลายจังหวัด

20 ธ.ค.2566 - นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 2 เรื่อง ดังนี้

เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีกล่าวหา นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพวก ทุจริตเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด ประจำปีงบประมาณ 2557 ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ได้จัดสรรให้วัดโพธิ์ทอง วัดตำหนัก (ภาวนาราม) และวัดจงกลณี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3 สำนวนคดี

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในปี พ.ศ. 2556 นางสาวประนอม คงพิกุล ผู้อำนวยการกอง พุทธศาสนสถาน ได้ติดต่อให้พระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ (ไพโรจน์ บุญโสม) ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดคันลัด และเลขานุการเจ้าคณะอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ไปดำเนินการติดต่อพระหรือเจ้าอาวาสวัดที่รู้จักและมีความประสงค์จะขอรับเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้มาดำเนินการจัดทำเอกสารคำขอรับเงินอุดหนุนพร้อมแนบเอกสารประกอบคำขอ โดยมีเงื่อนไขว่าวัดที่ขอรับเงินอุดหนุนจะได้รับเงินอุดหนุนเพียงร้อยละ 10 ของเงินที่ได้รับเท่านั้น ส่วนเงินอีกจำนวนร้อยละ 90 จะต้องส่งคืนให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อนำไปใช้ในกิจการอย่างอื่นและนำไปสนับสนุนวัดในถิ่นทุรกันดารและวัดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยวัดจะต้องเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารใหม่ร่วมกับบุคคลที่ไว้วางใจ เพื่อความสะดวกในการรับโอนและเบิกถอนเงินคืนให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ได้ติดต่อเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ในจังหวัพระนครศรีอยุธยาที่ประสงค์จะขอรับเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประกอบด้วย เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง โดยติดต่อผ่านพระครูเกษมวัฒนาภรณ์(วัฒนะ พิกุลทอง) เจ้าอาวาสวัดหงษ์ เจ้าอาวาสวัดตำหนัก (ภาวนาราม) และวัดจงกลณี โดยติดต่อผ่านพระมหาสมบัติ อาภากโร(สมบัติ ระสารักษ์) พระวัดสะตือ ซึ่งเป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภอท่าเรือ ให้จัดทำคำขอและยื่นเอกสารเกี่ยวกับการขอรับเงินอุดหนุนผ่านพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ เพื่อนำไปมอบให้กับนางสาวประนอม หลังจากนั้นนายนพรัตน์ จะเป็นผู้นำรายชื่อวัดไปส่งต่อให้นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ ผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ จัดทำบันทึกขออนุมัติการใช้จ่ายเงินประจำงวดเสนอนางสาวประนอม เพื่อเสนอไปยังนายนพรัตน์

นายนพรัตน์ ได้อนุมัติจ่ายเงินอุดหนุนการบูรณะและปฏิสังขรณ์วัด ทั้งที่วัดไม่ได้ยื่นแบบคำขอรับเงินอุดหนุนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเสนอผ่านเจ้าคณะพระสังฆาธิการเจ้าสังกัดและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองตามลำดับ ตามหลักเกณฑ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่าด้วยการขอและการจัดสรรเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประจำปีงบประมาณ 2557 และภายหลังจากที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้เบิกจ่ายเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัดให้แก่วัดดังกล่าวแล้วนางสาวประนอม ได้โทรศัพท์แจ้งไปยังพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ เพื่อแจ้งให้เจ้าอาวาสดำเนินการเบิกถอนเงินจากธนาคารตามจำนวนที่ได้รับการอุดหนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแล้วจัดส่งคืนให้แก่นางสาวประนอมตามเงื่อนไข โดยพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์พระครูเกษมวัฒนาภรณ์ และพระมหาสมบัติ อาภากโร ได้รับเงินส่วนแบ่งจากนางสาวประนอม เป็นค่าตอบแทนในการดำเนินการดังกล่าว จำนวนครั้งละประมาณ 5,000 – 10,000 บาท ดังนี้ 1.วัดโพธิ์ทอง ได้รับเงินอุดหนุนตามบันทึกขออนุมัติการใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว. 0243 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2556 จำนวน 1,000,000 บาท แต่ได้รับเงินจริงจำนวน 90,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน900,000 บาท พระครูเกษมวัฒนาภรณ์ไม่ได้นำไปมอบให้นางสาวประนอม ตามที่ตกลงกันไว้ แต่ได้นำเงินไปใช้ในการก่อสร้างภายในวัดหงษ์ 2.วัดตำหนัก (ภาวนาราม) ได้รับเงินอุดหนุนตามบันทึกขออนุมัติการใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว. 0264 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 จำนวน 1,000,000 บาท แต่ได้รับเงินจริงจำนวน 100,000 บาท และส่งมอบเงินคืนให้นางสาวประนอม จำนวน900,000 บาท3. วัดจงกลณี ได้รับเงินอุดหนุนตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว. 0280 ลงวันที่

26 พฤศจิกายน 2556 จำนวน 2,000,000 บาท และส่งมอบเงินคืนโดยนำเงินสดและแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายนางวรัญญู เพชรรัตน์ (พี่น้องร่วมบิดามารดากับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์) จำนวน 1,600,000 บาท มอบให้แก่นางสาวประนอม

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

กรณีวัดโพธิ์ทอง 1. การกระทำของนายนพรัตน์ นางสาวประนอม และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

2. การกระทำของพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ (ไพโรจน์ บุญโสม) และพระครูเกษมวัฒนาภรณ์ (วัฒนะ พิกุลทอง) มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา86

กรณีวัดตำหนัก (ภาวนาราม) 1. การกระทําของนายนพรัตน์ นางสาวประนอม และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

2. การกระทำของพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ (ไพโรจน์ บุญโสม) มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

กรณีวัดจงกลณี 1. การกระทําของนายนพรัตน์ นางสาวประนอม และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

2. การกระทำของพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ (ไพโรจน์ บุญโสม) พระมหาสมบัติ อาภากโร (สมบัติ ระสารักษ์) และนางวรัญญู เพชรรัตน์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

ทั้งนี้ ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจ และส่งรายงาน สํานวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคําวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป ทั้งนี้ ให้แจ้งผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ด้วย

เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายนพรัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพวก ทุจริตเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด ประจำปีงบประมาณ 2557 ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ได้จัดสรรให้วัดเพลง (กลางสวน) กรุงเทพมหานคร วัดใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการ
วัดเกาะแก้วอรุณคาม จังหวัดสระบุรี วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม และวัดกลางเหนือ จังหวัดสมุทรสงคราม 5 สำนวนคดี

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มีคำสั่งที่ 904/2556ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2556 แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาหลักเกณฑ์และการจัดสรรเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด ประจำปีงบประมาณ 2557 มีหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์และการจัดสรรงบประมาณเพื่อการบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดทั่วไปและวัดที่ประสบวินาศภัย ประจำปีงบประมาณ2557 ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการ ซึ่งกำหนดไว้ในโครงการเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด โดยมีนายนพรัตน์ เป็นที่ปรึกษา นางสาวประนอม ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน เป็นกรรมการ และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ ผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งคณะทำงานดังกล่าวได้พิจารณาให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่าด้วยการขอและการจัดสรรเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประจำปีงบประมาณ 2557 จึงย่อมต้องทราบถึงหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินอุดหนุนให้กับวัดต่าง ๆ เป็นอย่างดี แต่นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ กลับจัดทำบันทึกขออนุมัติการใช้จ่ายเงินประจำงวดเสนอนางสาวประนอม คงพิกุล เพื่อเสนอไปยังนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ และนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ได้อนุมัติเงินอุดหนุนการบูรณะ และปฏิสังขรณ์วัดทั่วไปและวัดที่ประสบวินาศภัยดังนี้ 1. วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม จำนวน 4,000,000 บาท ตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวดที่ บว 0264 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 2. วัดใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 4,000,000 บาท ตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว 0287 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2556

3. วัดเพลง (กลางสวน) กรุงเทพมหานคร จำนวน 5,000,000 บาท และวัดเกาะแก้วอรุณคาม จังหวัดสระบุรี จำนวน 5,000,000 บาทตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว 0296 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2556 4. วัดกลางเหนือ จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน10,000,000 บาท ตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว 0297 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2556

โดยที่วัดดังกล่าวไม่เคยมีคำขอรับเงินอุดหนุน และไม่ได้ประสบวินาศภัยแต่อย่างใด

การกระทำของนายนพรัตน์ กับพวก เป็นการอนุมัติเงินอุดหนุนการบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดที่ไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่าด้วยการขอและการจัดสรรเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประจำปีงบประมาณ 2557 ทำให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แม้ว่าภายหลังจากที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโอนเงินเข้าบัญชีของวัด และวัดได้เบิกถอนเงินมาใช้ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัด โดยไม่ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับเงินหรือขอเงินคืนจากงบประมาณที่ได้รับก็ตาม

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติแต่ละสำนวนคดี ดังนี้

1. การกระทำของนายนพรัตน์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

2. การกระทำของนางสาวประนอม และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจ และส่งรายงาน สํานวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคําวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน

และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป ทั้งนี้ ให้แจ้งผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ด้วย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'วราวุธ' ชี้ปมน้องไนซ์เชื่อมจิต ส่งทีมประเมินสภาพจิตใจ ยึดพรบ.คุ้มครองเด็ก

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์กรณีความคืบหน้า กระทรวง พม. กับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ. ) ดำเนินการตรวจสอบเรื่องน้องไนซ์เชื่อมจิ

จำคุกคนละ 18 ปี 24 เดือน อดีตผอ.-รองผอ.สามเสนวิทยาลัย เบียดบังเงินแป๊ะเจี๊ยะ

ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ถนนเลียบรางรถไฟ ศาลกลางอ่านคำพิพากษา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นโจทก์ฟ้องนายวิโรฒ สำรวล อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย

'เศรษฐา' ยืนยันไม่มีการกดดันฝ่ายใด หลัง 'บิ๊กโจ๊ก' ถอนเรื่องเอาผิดแต่งตั้งผบ.ตร.

จากกรณีที่ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาเปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งตัวแทนยื่นหนังสือถอนเรื่องที่ยื่นให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ นายเศรษฐา ทวีสิน

'บิ๊กโจ๊ก' ถอย! ดอดยื่น ป.ป.ช. ขอถอนคำร้องเอาผิด 'เศรษฐา' ปฏิบัติหน้าที่มิชอบตั้งผบ.ตร.

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันที่23เม.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ได้ส่งตัวแทนมายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป.ป.ช. เพื่อขอถอนเรื่องที่ยื่นให้ป.ป.ช.ตรวจสอบนายเศรษฐา ทวีสิน

กรมคุกตอบ 5 ประเด็น ปม 'หมอวรงค์' ร้อง ป.ป.ช.เอาผิดช่วย 'ทักษิณ' ป่วยทิพย์

กรมราชทัณฑ์ เผยแพร่เอกสารชี้แจงโดยระบุว่า วันจันทร์ที่ 22 เม.ย. 2567 ตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าวนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส่งข้อมูลผู้ตรวจฯ ยื่นคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ​ (ป.ป.ช.)​ ในการช่วยเหลือนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องติดคุก โดยมีประเด็นต่างๆ เพื่อเรียกร้องคำตอบให้กับสังคม นั้น

'เศรษฐา' ไม่กังวล 'บิ๊กโจ๊ก' ยื่นป.ป.ช.สอบแต่งตั้ง 'ต่อศักดิ์' เป็นผบ.ตร. สงสัยทำไมเพิ่งมาร้อง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เอาผิดนายกฯกรณีละเว้นปฎิบัติหรือละเว้นปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ