3 ต.ค.2567 - เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์สามสี โพสต์บทความวิจารณ์หนังสือ "ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมของกองทัพไทย" ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
โดยมีเนื้อหาระบุว่า หลังจากที่ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ "ในนามของความมั่นคงภายใน"*แล้ว ข้าพเจ้าพบว่าหนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนเมฆหมอกที่ปกคลุมทัศนวิสัยของผู้อ่าน ทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพไทยถูกบิดเบือนไปจากความจริงแท้ ผู้เขียนราวกับพยายามชี้นำให้ผู้อ่านเชื่อว่ากองทัพเป็นพายุที่เข้าทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่แท้จริงแล้ว กองทัพนั้นเปรียบเสมือนรากฐานของภูเขาที่มั่นคง ปกป้องแผ่นดินไทยจากลมพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงที่อาจพัดพาเอาเสถียรภาพของชาติให้ล่มสลายไป
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตได้ชัดเจนคือ วิธีการนำเสนอของผู้เขียนที่ใช้แนวคิดแบบ post-colonialism มาอธิบายการเคลื่อนไหวของกองทัพไทยที่มีต่อผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ แนวคิดนี้มุ่งเน้นไปที่การแบ่งแยกและความขัดแย้ง โดยทำให้มองเห็นแต่เพียงความขัดกันระหว่างฝ่ายรัฐและฝ่ายที่มีอุดมการณ์ต่างกัน
ข้าพเจ้ากลับมองว่าความจริงนั้นซับซ้อนกว่านั้น เพราะกองทัพไทยไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการกดขี่ แต่เป็นรากฐานสำคัญในการปกป้องชาติจากการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลเสียต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศ
หนังสือเล่มนี้ละเว้นการกล่าวถึงความพยายามของนักปฏิวัติที่บ่อนทำลายจิตวิญญาณของเยาวชนไทย เปรียบเสมือนงูที่ค่อยๆ เลื้อยเข้ามาในสวนอันอุดมสมบูรณ์ พยายามฉกเอาอุดมการณ์รักชาติของเยาวชนไป ด้วยคำลวงหวังให้พวกเขาลืมรากเหง้า ลืมศรัทธาที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และหันไปสร้างสังคมใหม่ในป่าทึบที่ไร้กฎเกณฑ์ แนวคิดเช่นนี้ถูกละเว้นในหนังสือ ทำให้ผู้อ่านเห็นแต่เพียงว่าฝ่ายรัฐใช้กำลังและอุดมการณ์เพื่อแทรกแซงเท่านั้น โดยลืมมองว่าผืนแผ่นดินไทยที่ยืนหยัดมาถึงทุกวันนี้ล้วนเกิดจากการเสียสละและปกป้องของผู้ที่รักแผ่นดินอย่างแท้จริง
ทหารไทยในเวลานั้น เปรียบได้กับกำแพงเมืองที่ยืนหยัดปกป้องสังคมจากศัตรูที่หวังจะเข้ามาแย่งชิง ทำลายระเบียบสังคมและปลูกฝังอุดมคติที่ไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตไทย การใช้ทั้งบู๊และบุ๋นของรัฐเพื่อปกป้องเยาวชนและสังคมไทยไม่ให้ถูกปนเปื้อนด้วยจิตวิญญาณที่เน่าเหม็นของนักปฏิวัตินั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการรักษาแผ่นดินให้คงอยู่
เราคนไทยทุกคนควรตระหนักถึงความเสียสละของกองทัพที่เปรียบเสมือนรากเหง้าใหญ่ของต้นไม้แผ่นดินไทย หากไร้ซึ่งรากเหง้านี้ ต้นไม้แห่งอธิปไตยก็อาจล้มลง เมื่อเรามองย้อนกลับไปในหน้าประวัติศาสตร์ เราจะเห็นว่าทุกครั้งที่พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดผ่านเข้ามา กองทัพและประชาชนผู้รักชาติต่างร่วมมือกันสร้างกำแพงป้องกัน เพื่อให้แผ่นดินนี้ยังคงยืนหยัดอย่างสง่างาม
ข้าพเจ้าพบว่าอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกละเลย คือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และพรรคคอมมิวนิสต์ แท้จริงแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความบาดหมางทางจิตใจหรือเจตนาร้ายต่อกันอย่างที่บางคนอาจจะเข้าใจ ในความเป็นจริง สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงทำงานอย่างหนักเพื่อประสานความเข้าใจและช่วยเหลือให้ประชาชนทุกฝ่ายมีชีวิตที่ดีขึ้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพยายามอย่างมากที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างสงบสุข แทนที่จะต้องเห็นคนไทยฆ่ากันเองหรือทำลายล้างกันโดยไม่จำเป็นดังนั้น การทำลายกันด้วยอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
พระองค์ทรงเห็นคุณค่าในการสร้างความเข้าใจและการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับทุกฝ่ายในประเทศ ไม่ว่าความเชื่อหรืออุดมการณ์ของแต่ละคนจะเป็นเช่นไร สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เคยเป็นศัตรูของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ทรงเป็นผู้นำที่มุ่งหวังจะเห็นประเทศไทยเจริญก้าวหน้าโดยไม่มีการนองเลือด และนี่คือสิ่งที่เราควรตระหนักและให้ความสำคัญในการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ในอดีต
หนังสือ **"ในนามของความมั่นคงภายใน"** ยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวในอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหนังสือเล่มนี้พยายามนำเสนอว่าเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่สะท้อนความแตกร้าวในอดีต และพยายามใช้เหตุการณ์เหล่านั้นมาเป็นรากฐานในการสร้างความแตกร้าวใหม่ในปัจจุบัน
ความพยายามที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์จากอดีตกับปัจจุบันและทำให้เกิดความขัดแย้งนั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงมิติเดียวที่หนังสือเล่มนี้ใช้ในการอธิบายความมั่นคง นั่นคือการมองผ่านมิติของความมั่นคงภายในที่แคบเกินไป โดยมองไม่เห็นความซับซ้อนของปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหากเราจะพูดถึงความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง เราไม่ควรมองเพียงแค่มิติเดียว
เราจำเป็นต้องพิจารณาความมั่นคงในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมิติทางรัฐศาสตร์ที่ครอบคลุมการบริหารจัดการประเทศ มิติทางทหารและหน่วยงานความมั่นคงที่ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตย มิติทางการศึกษา ที่สร้างความเข้าใจในประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาของคนในชาติ และมิติทางสังคมที่เชื่อมโยงคนในชาติให้ร่วมกันสร้างความสมานฉันท์และความเข้มแข็งในหมู่ประชาชน
เมื่อเรามองความมั่นคงของชาติผ่านมุมมองที่หลากหลายเหล่านี้ เราจะเห็นว่าแม้ประเทศไทยจะไม่สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน แต่เราก็ยังคงเป็นชาติที่พยายามปกป้องและสนับสนุนซึ่งกันและกัน รัฐไทยไม่เคยมีหน้าที่ในการแทรกแซงหรือกดขี่ประชาชนอย่างที่หนังสือเล่มนี้พยายามจะชี้นำ การมองความมั่นคงผ่านมิติเพียงหนึ่งหรือสองมิติ โดยละเลยความเป็นจริงทางสังคมและประวัติศาสตร์ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นในอนาคต
จริงอยู่ครับ ที่ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา กองทัพไทยได้ดำเนินภารกิจต่างๆ ซึ่งบางครั้งประสบความสำเร็จและบางครั้งอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างสมบูรณ์ นั่นเป็นเพราะกองทัพเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่และมีความรับผิดชอบในหลายมิติ ทั้งในด้านการสงคราม การป้องกันประเทศ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตต่างๆ ทหารยังมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูประเทศชาติในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่กิจการต่างๆของกองทัพจะมีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวเป็นบางครั้ง แต่ทั้งหมดนี้สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่ากองทัพโดยส่วนใหญ่มีเจตนาให้เกิดผลดีต่อประเทศชาติ เพียงแต่บางครั้งอาจต้องใช้เวลา และต้องผ่านวิกฤตการณ์ทางการเมือง สังคม หรือการเผชิญหน้ากับความแตกแยกทางความคิดที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนคนไทยด้วยกันทั้งนั้น
ภารกิจของทหารจึงเป็นกิจการที่น่าเห็นใจ เพราะเป็นงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด การรักษาความมั่นคงของชาติเป็นภาระหน้าที่ที่ทหารต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในยามสงครามหรือในยามที่สังคมกำลังฟื้นตัวจากปัญหาภายในและภายนอกประเทศ
ข้าพเจ้าขอเสนอให้เราเปิดใจกว้างในการมองประเด็นความมั่นคง ไม่ใช่เพียงในมิติของการเฝ้าระวังภัยคุกคามจากภายใน แต่ควรมองในทุกมิติที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งด้านรัฐศาสตร์ การทหาร การศึกษา และสังคม เพื่อให้เราเข้าใจว่าความมั่นคงของชาตินั้นเกี่ยวข้องกับการร่วมมือกันปกป้องไม่ใช่การกดขี่และแทรกแซง
ถ้าจะให้รีวิวหนังสือผมให้ 2 เต็ม 10
เห็นแก่ความพยายามเขียนและเปลืองกระดาษมาก
เหมือนกับบทความที่ข้าพเจ้า เขียนมา 2 หน้ากระดาษนี่แหละ
ขออนุญาตเอาหนังสือเล่มนี้ไปลองขาโต๊ะเล่มที่ 2 นะครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'หัวเขียง' ปรับแก้ 10 กว่าจุด ลั่นหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ต้องเสนอ กม.ยึดอำนาจกองทัพ กลับไปใหม่
นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าในวันที่ 12 ธ.ค.ตนจะแจ้งเรื่องต่อที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เพื่อขอถอนร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่เสนอ
นายกฯอิ๊งค์ ยืนยันจุดยืนรัฐบาล ไม่มีเจตนาแทรกแซงกองทัพ
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ว่า เรื่องนี้มีความคิดเห็นต่างกันอยู่แล้วก็ต้องรับฟังทุก
อย่าวางใจ 'หัวเขียง-เพื่อไทย' ถอนร่างกฎหมายยึดอำนาจกองทัพ
แม้ดูแนวโน้มแล้ว นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ จากพรรคเพื่อไทยมีโอกาสที่จะถอนร่าง กฏหมายยึดอำนาจกองทั
'ไอติม' มั่นใจร่างกฎหมายสกัดรัฐประหาร ผ่านสภาฯได้ หากปชน.-เพื่อไทยจับมือกัน
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กลาโหม โดยเฉพาะการสกัดการปฏิวัติ ว่า ในมุมมองของพรรคประชาชน หรืออดีตพรรคก้าวไกล เ
เข็ดแล้วสุดซอย! 'หัวเขียง' ถอยกรูด ถอนร่างกฎหมายยึดอำนาจกองทัพ
นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงคัดค้านร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม
ดร.ณัฏฐ์ ชำแหละ 92 ปีรัฐธรรมนูญ วัฏจักรการแย่งชิงอำนาจ!
ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม ระบุครบรอบ 92 ปีวันรัฐธรรมนูญ ยังวนเวียนอยู่กับวัฏจักรการแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง มากกว่าคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน