
10 ก.ย. 2568- รศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ [ ครั้งแรกของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่ใช่ครั้งแรกของศาลไทย : สรุปคำสั่งศาลฎีกาให้จำคุกทักษิณ 1 ปี และแนวทาง #การคุมขังนอกเรือนจำ ] มีเนื้อหาดังนี้
คำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีคำสั่งให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร รับโทษจำคุก 1 ปีนั้น มีเหตุผลอย่างไร และแนวทางการขอคุมขังนอกเรือนจำ จะเป็นไปได้หรือไม่ และต้องดำเนินการอย่างไร สรุปสั้นๆ (แต่ก็ยังค่อนข้างยาว) ได้ดังนี้ครับ
1. ศาลฎีกาฯ เห็นว่า #การส่งตัว คุณทักษิณไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า (นำมากล่าวถึงเฉพาะที่สำคัญที่สุด) “เชื่อได้ว่าในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกแต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ” และหากว่า “อาการแน่นหน้าอกของจำเลยหากเกิดขึ้นจริง .. อาการของจำเลยก็ทุเลาดีขึ้น และจำเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566”
นอกจากนี้ “ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 .. ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจ ..“ และที่ ”อ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจำเลยในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว“
ศาลฎีกาฯ จึงเห็นว่า “การส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563”
2. สำหรับ #ในช่วงเวลาระหว่างรักษา ศาลสรุปข้อเท็จจริงว่า #ใบแสดงความเห็นแพทย์ ของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ที่ออกให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ใช้เป็น #หลักฐาน ถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน นั้น อ้างเหตุว่า “ต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ” แต่ทว่า “การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ” ซึ่ง “มิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจ” อีกทั้ง “ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใด”
ศาลฎีกาฯ จึงเห็นว่าช่วงเวลาบังคับโทษจำคุกระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย และดังนั้น จึงสรุปว่า “การบังคับโทษจำคุกจำเลย เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
3. ประเด็นต่อมา จำเลยจะอ้างได้หรือไม่ว่า “เป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลย“ ศาลฎีกาฯ สรุปว่า “จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน” และเห็นว่า “จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ” ซึ่งจำเลยย่อมรับรู้ “เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจำเลยเอง”
4. ช่วงเวลาที่อยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และดังนั้น จึงไม่นับเป็นการถูกจำคุก และทั้งนี้เนื่องจากในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 คุณทักษิณได้รับการพระราชทานอภัยโทษลดโทษจำคุกจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี ดังนั้น ศาลฎีกาฯ จึงมีคำสั่งให้คุณทักษิณต้องรับโทษจำคุก เป็นเวลา 1 ปี
5. การที่คุณทักษิณเคยได้รับการพักโทษจาก 1 ปี เหลือ 6 เดือนหรือ 180 วัน จึงไม่นับไปด้วย และต้องเริ่มต้นขอใหม่ นั่นคือเมื่อคุณทักษิณเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำแล้ว ก็ต้องดำเนินการตาม พรบ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 52(7) คือ ขอ #พักการลงโทษ (ซึ่งหมายถึงการออกจากเรือนจำก่อนเวลาโดยยังไม่พ้นโทษ) โดยใช้สิทธิอายุ 70 ปีขึ้นไป โดยต้อง “ได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าหกเดือนหรือหนึ่งในสามของกำหนดโทษตามหมายศาลในขณะนั้นแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า” ซึ่งหนึ่งในสามของโทษจำคุก 1 ปีนั้นคือ 4 เดือน ซึ่งน้อยกว่า 6 เดือน คุณทักษิณจึงต้องรับโทษ 6 เดือน จึงจะขอพักการลงโทษได้
6. อดีตนายกรัฐมนตรีที่ต้องอยู่ในเรือนจำหรือติดคุกนั้น คุณทักษิณไม่ใช่คนแรก เพราะคนแรกคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ตกเป็นจำเลยในข้อหาอาชญากรสงคราม ในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งศาลฎีกายกฟ้องในปี พ.ศ. 2489 ทำให้จอมพล ป. ต้องติดคุกอยู่ 5 เดือน แต่จอมพล ป. เป็นแค่จำเลย ไม่ใช่นักโทษเด็ดขาด ส่วนคุณทักษิณเป็นนักโทษเด็ดขาด และจึงเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเป็นคนแรกที่ติดคุกแบบเป็นนักโทษเด็ดขาด
7. ครั้งนี้เป็น #ครั้งแรก ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีการไต่สวนหมายจำคุก จากที่แต่เดิมปล่อยให้เป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์ในการดำเนินการ ว่าจะคุมขังที่ไหน จะลดโทษ หรือพักการลงโทษอย่างไร ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ไม่เคยติดตามตรวจสอบว่ากรมราชทัณฑ์ได้บังคับการลงโทษตามคำพิพากษาของศาลหรือไม่
ครั้งนี้จึงเป็นบรรทัดฐานใหม่ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจถึง 12 คน ที่ถูก ปปช. ดำเนินคดีในขณะนี้ ซึ่งมีผลทำให้กรมราชทัณฑ์ต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายและตามกฎระเบียบของกรมราชทัณฑ์มากขึ้น
อย่างไรก็ตามถ้าไม่นับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ศาลฎีกาแผนกอื่น และศาลชั้นต้นเคยมีการดำเนินการให้นำตัวผู้ต้องขังทึ่พ้นโทษไปแล้วกลับมาติดคุกใหม่มาก่อนแล้ว ครั้งนี้จึงไม่ใช่ครั้งแรกของศาล แต่เป็นครั้งแรกของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
8. กรมราชทัณฑ์ได้มีระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 และมีการออกประกาศเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติเมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา สาระสำคัญของระเบียบฉบับนี้คือ ให้นักโทษเด็ดขาดที่เข้าเกณฑ์ไปคุมขังนอกเรือนจำได้ ระเบียบนี้จึงถูกเรียกว่า #ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ เชื่อว่าเหตุผลสำคัญที่คุณทักษิณกลับมาฟังคำสั่งศาลฎีกา เพราะจะใช้สิทธิตามระเบียบนี้ ซึ่งคุณทักษิณเข้าเกณฑ์คือ โทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ต้องโทษจำคุกครั้งแรก ความผิดไม่ใช่ความผิดอาญาร้ายแรง และไม่มีความเสี่ยงที่จะหลบหนี (เพราะกลับมาฟังคำสั่งศาล)
9. ขั้นตอนในการอนุญาตคือ คณะทำงานซึ่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ฝ่ายทัณฑวิทยาเป็นประธาน จะเสนอต่อผู้บัญชาการเรือนจำว่า มีนักโทษคนใดเข้าเกณฑ์และสมควรได้รับการพิจารณาไปคุมขังนอกเรือนจำบ้าง จากนั้นก็จะเสนออธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุมัติ โดยต้องมีการใส่กำไลอีเอ็มและมีกล้องวงจรปิด ทั้งนี้ ระเบียบนี้ #ไม่มีกรอบเวลา ว่าจะต้องรับโทษแล้วกี่วัน หรือจะมีระยะเวลาพิจารณาช้าเร็วอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับกรมราชทัณฑ์ แต่อย่างไรก็ตามผมเข้าใจว่ากรมราชทัณฑ์คงจะดำเนินการอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งที่ผ่านมา
10. ผมเห็นว่าคุณทักษิณตัดสินใจถูกต้องที่กลับมาฟังคำสั่งศาลฎีกาฯ เพราะถ้าไม่กลับมาฟังคำสั่ง คุณทักษิณก็ยากจะได้กลับมาประเทศไทยอีก และพรรคเพื่อไทยก็อาจจะยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ขึ้นไปอีก การกลับมาฟังคำสั่งศาลฎีกาและรับโทษ ทำให้พรรคเพื่อไทยจากสถานการณ์ถอยร่นสามารถกลับมาสู่การเริ่มตั้งหลักได้อีกครั้ง และผู้คนในแวดวงทางการเมืองจำนวนไม่น้อยก็แสดงความเห็นอกเห็นใจคุณทักษิณ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
ทั้งหมดนี้คือการสรุปประเด็นเพื่อเป็นกรณีศึกษา เพราะถือเป็นคดีประวัติศาสตร์อีกคดีหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อท่านที่สนใจในการติดตามเรื่องนี้ต่อไปครับ
(หมายเหตุ ภาพประกอบจาก Thai PBS และข่าวแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ
"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย
ป.ป.ช. สอบคุกวีไอพี ไล่เช็กกล้อง-เส้นทางนำคนนอกเข้าเรือนจำ
ป.ป.ช.ลุยตรวจเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เปิดปฏิบัติการเชิงรุกสอบสิทธิพิเศษ “ผู้ต้องขังจีนเทา” ไล่เช็กกล้อง-เส้นทางนำคนนอกเข้าเรือนจำ จ่อรายงานบอร์ดป.ป.ช.พิจารณาต่อ
กสม. มีมติสอบ 'คุก VIP' ส่อละเมิดสิทธิ เรียกหน่วยเกี่ยวข้องแจง
'กสม.' มีมติตรวจสอบ กรณีพบห้องวีไอพีของผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่อเลือกปฏิบัติละเมิดสิทธิ จ่อเชิญหน่วยเกี่ยวข้องให้ข้อมูล
'อ.ปริญญา' ฟาด 'เลขาฯกกต.' ขู่ว่าที่ผู้สมัครฯแจกของช่วยน้ำท่วม ยิ่งกว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
'อ.ปริญญา' อบรมเลขาฯกกต.ตีความว่าที่ผู้สมัครเลือกตั้งท้องถิ่นแจกของช่วยน้ำท่วมจะมีคนร้องเรียน ชี้ความผิดตามพรบ.เลือกตั้งฯต้องเป็นผู้สมัครแล้ว หน้าที่กกต.คำร้องไม่มีมูลหรือไม่มีสาระต้องยกคำร้อง ซัดพูดขวางไม่ให้คนช่วยเหลือกันทำไม ยิ่งกว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำอีก
แจงยิบสางผบ.คุกฉาว 28พ.ย.สรุปชงรมว.ยธ.
โฆษกกรมราชทัณฑ์เผยคืบหน้าปมตรวจสอบ "คุก VIP เทา" แย้มไล่กวดเอกสารลาพักร้อน “มานพ” อดีต ผบ.คุก-เอกสารการเงินปรับปรุงห้องลับใต้บันได
รมว.ยุติธรรม เผยเจ้าหน้าที่อึดอัดพฤติกรรมอดีต ผบ.คุกพิเศษกรุงเทพ
รมว.ยุติธรรม เผยข้าราชการในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ-กรมราชทัณฑ์ สุดอึดอัดกับพฤติกรรมของ “อดีตผบ.มานพ” แย้ม ดีเอสไอเร่งตรวจสอบเส้นทางการเงิน


