'อดีตผู้พิพากษา' ฟันฉับ กม.ไม่เอื้อ ไม่มีเหตุ 'ทักษิณ' ยื่นขออภัยโทษซ้ำ อาจถูกดำเนินคดีอีก

'วัส ติงสมิตร' ชี้กม.ไม่เอื้อให้ 'ทักษิณ' ขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้ง ศาลฎีกาฯยังวินิจฉัยว่าไม่ได้ป่วยจนถึงขนาดต้องออกไปรักษานอกเรือนจำ และอาจถูกดำเนินคดีอาญาร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย

3ต.ค.2568- นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ "ทักษิณจะขออภัยโทษครั้งที่ 2 ได้หรือไม่" มีเนื้อหาดังนี้

เมื่อวานนี้ (ที่ 2 ตุลาคม 2568) มีรายงานข่าวว่า ทักษิณ ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งกลับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ทบทวน
รมว.ยุติธรรมคนใหม่ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนว่า กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ทูลเกล้าฯ ขออภัยโทษครั้งที่ 2 รมว.ยุติธรรมคนเก่าได้เสนอไปที่ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) แต่ตอนนี้เรื่องได้กลับมาที่กระทรวงยุติธรรมแล้ว ซึ่งตนได้มอบหมายให้ปลัด ยธ. ไปตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อช่วยดูเรื่องข้อกฎหมาย แล้วประมวลเรื่องเสนอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งภายใน 3 วัน ซึ่งจะครบประมาณวันศุกร์ที่ 3 ต.ค. หรือวันจันทร์ที่ 6 ต.ค. จึงจะมีการรายงานมาให้ตนทราบอีกครั้ง แล้วค่อยนำเสนอกลับไปที่ สลค. ใหม่อีกครั้ง

ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีความเห็นดังนี้

1)การพระราชทานอภัยโทษทรงเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ (มาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญ 2560)

2) เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใด ๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง มีสิทธิทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัยโทษ โดยจะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้ (มาตรา 259 แห่ง ป.วิ.อาญา)

3) ผู้ถวายเรื่องราวซึ่งต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำสามารถยื่นเรื่องราวต่อพัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำได้ เมื่อได้รับเรื่องราวนั้นแล้ว ให้พัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว แล้วให้รีบส่งเรื่องราวนั้นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (มาตรา 260)

4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์พร้อมทั้งถวายความเห็นว่าควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่
ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดถวายเรื่องราว ถ้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเห็นเป็นการสมควร จะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษานั้นก็ได้ (มาตรา 261)

5) เรื่องราวหรือคำแนะนำขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต ให้ถวายได้แต่ครั้งเดียวเท่านั้น (มาตรา 262 วรรคสอง)

6) เรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษอย่างอื่นซึ่งมิใช่โทษประหารชีวิต ถ้าถูกยกหนหนึ่งแล้ว จะยื่นใหม่อีกไม่ได้จนกว่าจะพ้น 2 ปีนับแต่วันถูกยกครั้งก่อน (มาตรา 264)

7) การขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณครั้งนี้เกิดจากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไต่สวนและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ว่า การบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายทักษิณต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 9 กันยายน 2568

โทษจำคุก 1 ปี ของนายทักษิณจึงเป็นโทษอันเกิดจากการกระทำความผิดในคดีเดิม 3 คดี ซึ่งมีโทษจำคุกรวม 8 ปี โดยนายทักษิณได้ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย และได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอภัยลดโทษเหลือจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ไม่ใช่การลงโทษจากการกระทำความผิดครั้งใหม่ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 260
นักโทษที่จะขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 จากการกระทำความผิดครั้งเดียวกันได้ก็แต่เฉพาะการขอครั้งแรกถูกยก และจะมีสิทธิยื่นขออีกก็ต่อเมื่อพ้น 2 ปีนับแต่วันถูกยกครั้งก่อน (มาตรา 264)

นอกจากข้อกฎหมายจะไม่เอื้อให้ขอพระราชทานอภัยโทษได้แล้ว เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่นายทักษิณทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษครั้งก่อนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ซึ่งต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยสรุปได้ว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยจนถึงขนาดต้องออกไปรักษานอกเรือนจำ โดยไปอยู่ที่ชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ในบริเวณโรงพยาบาลตำรวจ การบังคับโทษจำคุกนายทักษิณจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และนายทักษิณก็อาจถูกดำเนินคดีอาญาร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจำคุกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายครั้งนี้ด้วย

ยิ่งไม่มีเหตุที่จะยื่นเรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้ง

แต่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (คนเก่า) มีหนังสือลงวันที่ 24 กันยายน 2568 ความยาว 11 หน้า กราบเรียนนายกรัฐมนตรีว่า นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณฯ ได้ยอมรับคำพิพากษาของศาลฎีกาโดยยินยอมเดินทางกลับมารับโทษ และมีคุณงามความดีขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยการดำเนินการโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนหลายโครงการ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ บค 1/2568 ลงวันที่ 9 กันยายน 2568 ให้จำคุกนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณฯ 1 ปี จึงเห็นควรยกฎีการายนี้เสีย ตามที่กรมราชทัณฑ์เสนอ จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา และนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในโอกาสอันควรนั้น

ดูเหมือนว่า ยังกั๊กๆ ในข้อกฎหมายอยู่

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อดีตผู้พิพากษา' อธิบาย 'ปิดงานงดจ้าง' กับ 'หยุดกิจการ' เหตุข้อพิพาทแรงงาน 'ไดกิ้น '

นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ปิดงานงดจ้างกับหยุดกิจการ มีเนื้อหาดังนี้

'อดีตผู้พิพากษา' ชำแหละ MOU 2543 เครื่องมือทางการทูต หรือ กับดักทางการเมือง

นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ MOU 2543 : เครื่องมือทางการทูต หรือกับดักทางการเมือง มีเนื้อหาดังนี้

ย้อนแย้ง 'อดีตประธานกสม.' แฉ 'นักสิทธิมนุษยชน' กลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น

นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า เมื่อ “นักสิทธิมนุษยชน” กลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น?