
24 พ.ย.2568-นายอัษฎางค์ ยมนาค อินฟลูเอนเซอร์การเมืองชื่อดังฝ่ายอนุรักษ์นิยม โพสต์เฟซบุ๊ก “เอ็ดดี้ อัษฎางค์” เผยแพร่บทความเรื่อง “ทางเลือกของคนไทยรักชาติ” เนื้อหาระบุ จากโพสต์ของผมที่มีผู้ใหญ่ฝากประเทศไทยเอาไว้ด้วย และบอกวิธีที่จะช่วยรักษาประเทศไทยไว้ได้ คือการไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ทำให้มีหลายท่านตั้งคำถามมาว่า “ให้ผมแนะนำว่าควรจะเลือกพรรคใดเข้ามาบริหารประเทศ” ซึ่งคำตอบในเรื่องนี้ไม่ง่ายและต้องอธิบายกันยาว
ส้ม- พรรคประชาชน = “ยังสะอาด(ปราศจากปัญหาเรื่องแจกเงิน) แต่สุ่มเสี่ยงต่อระบอบ”
แดง- เพื่อไทย = “(โดนกล่าวหาว่า)ทุจริตแต่ปลอดภัยต่อระบอบ
น้ำเงิน – ภูมิใจไทย = “(โดนกล่าวหาว่า)เทา ๆ แต่ปลอดภัยต่อระบอบ”
น้ำเงิน – รวมไทยสัญชาติ = ปลอดภัยต่อระบอบ แต่ (โดนกล่าวหาว่า) เกาะเกี่ยวอำนาจ จนเกิดวิกฤตศรัทธา
ฟ้า – ประชาธิปัตย์ = ทางเลือกที่ปลอดภัยต่อระบบ
เขียว – ไทยภักดี = ผู้พิทักษ์ระบบ
จากบริบทของสถานการณ์ในปัจจุบัน ผมสันนิษฐานว่าในการเลือกตั้งคราวหน้าจะเป็นการแข่งขันและปะทะกันระหว่าง 2 พรรคใหญ่ คือพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย (เพื่อไทยกำลังจะแคระแกร็น)
มีพรรคไหน “ไม่ซื้อเสียง” บ้าง?
คำตอบที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือ “ยากที่จะฟันธงแบบ 100%” แต่เราสามารถแยกกลุ่มพรรคการเมืองออกได้ตาม “โมเดลการหาเสียง” ซึ่งจะบอกแนวโน้มของการใช้เงิน
กลุ่ม A: พรรคที่เน้น “อุดมการณ์”
ลักษณะ: พรรคกลุ่มนี้มักจะขาย “นโยบาย” หรือ “จุดยืนทางการเมือง” ที่ชัดเจน คะแนนเสียงได้มาจากคนที่ศรัทธาในความคิด ไม่ใช่ตัวบุคคล
แนวโน้มการซื้อเสียง: ต่ำมาก หรือ ไม่มีเลย เพราะหากพรรคนี้ไปจ่ายเงินซื้อเสียง จะเป็นการทำลายจุดขายของตัวเองทันที และผู้สมัครมักไม่มีเงินทุนหนาพอจะทำแบบนั้น
ข้อสังเกต: มักเป็นพรรคที่พึ่งพาการบริจาคจากประชาชน หรือการระดมทุนออนไลน์
ถ้าอ่านตามแนวทางดังกล่าวพรรคที่โผล่ขึ้นมาในหัวในทันทีทันใดคือ ”พรรคประชาชน ประชาธิปัตย์ ไทยภักดี“
กลุ่ม B: พรรคที่เน้น “ระบบอุปถัมภ์หรือบ้านใหญ่”
ลักษณะ: เน้นตัวบุคคลที่มีอิทธิพลในท้องถิ่น (บ้านใหญ่) ดูแลคนในพื้นที่แบบพี่น้อง ฝากลูกเข้าโรงเรียน ช่วยงานบวชงานแต่ง
แนวโน้มการซื้อเสียง: มีความเสี่ยงสูง เพราะระบบนี้ต้องใช้ “กระสุน” (ทุน) ในการดูแลเครือข่ายหัวคะแนน เพื่อจูงใจให้คนในพื้นที่เลือกคนที่ดูแลปากท้องเขาได้ทันที มากกว่ารอนโยบายระดับชาติ
ข้อสังเกต: มักมีข่าวเรื่องการดูด ส.ส. หรือการย้ายพรรคบ่อยๆ
ถ้าอ่านตามแนวทางดังกล่าวพรรคที่โผล่ขึ้นมาในหัวในทันทีทันใดคือ “พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย”
แนะนำว่าควรเลือกพรรคอะไร และเลือกยังไง?
ผมขอแนะนำทุกท่านด้วย “เช็คลิสต์ 3 ข้อ”
1. ดูที่ “ที่มาของเงิน”: พรรคนั้นรับเงินบริจาคจากใครเป็นหลัก? จากกลุ่มทุนผูกขาดไม่กี่เจ้า หรือจากการระดมทุนรายย่อย
ตรรกะ: ถ้ารับเงินจากใคร เขาจะเกรงใจคนนั้น ถ้ารับเงินจากนายทุน เขาจะเกรงใจนายทุน ถ้ารับเงินจากประชาชน เขาจะเกรงใจประชาชน ถ้าคิดไวๆ ภาพที่ปรากฏขึ้นมาในหัวสมองทันที พรรคที่เป็นคำตอบนี้คือ “พรรคประชาชน ประชาธิปัตย์ ไทยภักดี“
2. ดูที่ “ผลงานในสภา”: อย่าดูแค่ตอนหาเสียง ให้ย้อนไปดูการอภิปรายในสภา พรรคไหนที่ ส.ส. เข้าประชุมสม่ำเสมอ? พรรคไหนกล้าโหวตสวนทางกับผลประโยชน์ทับซ้อน? พรรคไหนที่ “สู้จริง” ไม่ใช่แค่ “สู้ไปกราบไป”? ในมุมของบทบาทในสภา ชื่อที่โดดเด่นขึ้นมาก็หนีไม่พ้น…พรรคประชาชน ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย (ไทยภักดี: ยังไม่ได้ทำงานในสภาแต่มีผลงานชัดเจนในเรื่องความกล้าสวนทางกับผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วน รทสช. เคยมีผลงานโดดเด่นในสภาแต่เกิดปัญหาเกาะเกี่ยวอำนาจ จนเกิดวิกฤตศรัทธาในปัจจุบัน)
3. ดูที่ “ความสม่ำเสมอของจุดยืน”: ตอนเป็นฝ่ายค้านพูดอย่างหนึ่ง พอเป็นรัฐบาลทำอีกอย่างหนึ่งหรือไม่? พรรคที่น่าเลือกคือพรรคที่ “คำพูดกับการกระทำเป็นเรื่องเดียวกัน” และถ้ามองเรื่องความคงเส้นคงวา พรรคที่คำพูดและการกระทำตรงกันคือ..พรรคประชาชน ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และไทยภักดี
เลือกพรรคการเมืองที่ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง คือทางออกประเทศไทยจริงหรือไม่ ?
จะเห็นได้ว่าจาก ”เช็คลิสต์“ ต่างๆ ข้างต้น พรรคประชาชน ผ่านเข้ารอบทุกรอบ ในแง่ “วิธีการ” พรรคประชาชนสอบผ่านฉลุยในเรื่องความโปร่งใส การไม่ซื้อเสียง และการระดมทุนจากมวลชน ซึ่งเป็นโมเดลพรรคการเมืองในฝันตามระบอบประชาธิปไตยสากล แต่ทราบกันใช่มั้ยว่า พรรคประชาชน ซึ่งดูเหมือนเป็น พรรคการเมืองที่ดี แต่ความจริงพรรคนี้มีสมาชิกเดิมของพรรคก้าวไกลที่ออกมาตั้งพรรคประชาชน ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (คดียุบพรรคก้าวไกล) ได้ชี้ชัดแล้วว่าพฤติการณ์ในการรณรงค์แก้ไข ม.112 นั้น เข้าข่ายเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เบื้องหลังในแนวความคิดอันเป็นหัวใจสำคัญของพรรคนี้เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ประมุข
ดังนั้น คำถามที่ว่า “เรายังจะเลือกพรรคนี้ได้หรือ?” จึงไม่ใช่คำถามเรื่องความซื่อสัตย์เรื่องเงินอีกต่อไป แต่เป็นคำถามเรื่อง “ความมั่นคงของระบอบ“ หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ: เปรียบเหมือนรถคันหนึ่งที่ “เครื่องยนต์สะอาด ไม่โกงน้ำมัน ขับขี่ถูกกฎจราจร” (ไม่ซื้อเสียง) แต่ “GPS ตั้งพิกัดมุ่งหน้าลงเหวหรือไปในทิศทางที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ไม่ต้องการไป” (แนวคิดเปลี่ยนระบอบ)
แล้วเราจะตัดสินใจเลือกอย่างไร?
ในเมื่อเราณรงค์เรื่อง “การไม่ขายเสียง” แต่ตัวเลือกที่ “ไม่ซื้อเสียง” ดันมีประเด็นเรื่องความมั่นคงของสถาบันฯ ดังนั้น การเลือกตั้งไม่ใช่แค่การเลือกคนไม่โกงเงิน แต่คือการเลือกทิศทางของประเทศ เพื่อรักษาจุดยืนเรื่อง “ไม่ซื้อเสียง” แต่ก็ไม่สนับสนุนแนวทางที่ “เป็นภัยต่อความมั่นคง” สำหรับผม การเลือกพรรคที่ดีที่สุด คือพรรคที่ ‘ซื่อสัตย์เรื่องเงิน’ และ ‘ซื่อสัตย์ต่อระบอบการปกครองของเรา’ ด้วย
ทุกท่านต้อง “ชั่งน้ำหนักความเสี่ยง” ให้ดี
พรรคประชาชน (ก้าวไกลเดิม) ชี้นำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องได้รับการปฏิรูป และมีขบวนการเคลื่อนไหวรองรับสนับสนุนการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ด้วยข้อกล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์เป็นตัวถ่วงต่อระบอบประชาธิปไตยและการพัฒนาประเทศ เช่น ไม่สามารถตรวจสอบสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ หรือไม่สามารถเลือกผู้ที่จะมาเป็นพระมหากษัตริย์ได้ หรือแม้แต่การกล่าวหาว่ามาตรา 112 เป็นปัญหาทางสังคมและการเมือง ทั้งที่เป็นเพียงกฎหมายคุ้มครองประมุขแห่งรัฐซึ่งทุกประเทศในโลกก็มีกฎหมายนี้
ดังนั้น การชั่งน้ำหนักความเสี่ยง ของพรรคการเมืองที่มีคุณสมบัติที่ขัดแย้งกันเอง (สะอาดทางการเงิน vs อันตรายทางความคิด) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องจัดลำดับความสำคัญ ว่า คนไทยต้องกลัว “ระบอบล่มสลายเพราะเปลี่ยนโครงสร้าง” และต้อง ”ไม่เลือกพรรคที่จะทำให้ระบอบล่มสลายเพราะเปลี่ยนโครงสร้าง“ ซึ่งเป็นคำตอบที่ “ถูกต้องและสมเหตุสมผล” ในแง่ของ ”การจัดลำดับความสำคัญ“
จะเลือกใครระหว่าง “สะอาดแต่สุ่มเสี่ยง” vs “ทุจริต (หรือเทา ๆ )แต่ปลอดภัยต่อระบอบ”
ทฤษฎี “Political Decay” (ความเสื่อมถอยทางการเมือง) ของ Samuel P. Huntington อธิบายว่า “พรรคการเมืองที่ปลุกระดมเก่ง (แม้จะมือสะอาด) อาจนำประเทศไปสู่หายนะได้ หากไปทำลายสถาบันหลักที่มีอยู่” ประวัติศาสตร์โลกสอนเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า… ประเทศที่ล่มจมส่วนใหญ่ ไม่ได้เกิดจากการที่ผู้นำซื้อเสียงหรือมีคอร์รัปชันเพียง อย่างเดียว (คอร์รัปชันทำให้ประเทศโตช้า แต่ไม่ถึงกับตาย) แต่ประเทศที่ ‘ล่มสลาย’ จนสิ้นชาติ ล้วนเกิดจากการที่ประชาชนหลงเชื่อในวาทกรรม ‘การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง’ ที่ฟังดูสวยหรู ยอมให้รื้อถอนเสาหลักของชาติ เพียงเพื่อจะพบว่าหลังกำแพงที่พังลงมานั้น… ไม่ใช่สวรรค์ แต่คือนรกของสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ การเลือกตั้งครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเลือกคนดีเข้าสภา แต่คือการเลือกว่าเราจะรักษา ‘หลังคาคุ้มหัว’ ของเราไว้ หรือจะเสี่ยงทุบทิ้งเพื่อสร้างวิมานในอากาศที่ไม่มีอยู่จริง
หากเราถอดสมการ
1. ปัญหาคอร์รัปชัน (โกง): เป็นปัญหาเชิง “การบริหาร”
2. ปัญหาล้มล้าง/เปลี่ยนโครงสร้าง: เป็นปัญหาเชิง “ความอยู่รอดของระบอบ” ขอยกตัวอย่างเพื่อเห็นภาพชัดเจน 1. เปรียบเทียบด้วยทฤษฎี “บ้าน” การทุจริตคอร์รัปชัน = “ปลวก” ปลวกกัดกินฝาบ้าน กินเฟอร์นิเจอร์ ทำให้บ้านทรุดโทรม ไม่น่าอยู่ และเสียหายทางเศรษฐกิจ (ต้องกำจัด ต้องซ่อมแซม) การล้มล้าง/เปลี่ยนโครงสร้างสถาบันหลัก = “การทุบเสาเข็ม” หรือ “วางเพลิง”
สรุป เราสามารถทนอยู่ในบ้านที่ยังมีปลวกเพื่อรอการกำจัดได้ (มีกระบวนการตรวจสอบ ป.ป.ช., ศาลอาญา) แต่เรา “ไม่สามารถเลือกคนที่จะเดินเข้ามาจุดไฟเผาบ้านหรือทุบเสาเข็ม” ได้ เพราะนั่นคือจุดจบของบ้าน
คำกล่าวที่ว่า “สะอาดทางการเงิน แต่ฉ้อฉลทางความคิด” เป็นประเด็นที่อันตรายกว่ามาก เพราะ: คอร์รัปชันเงินทอง: ยังมีหลักฐานใบเสร็จ เส้นทางการเงิน ให้ตรวจสอบเอาผิดได้ตามกฎหมาย มีบทลงโทษชัดเจน คอร์รัปชันทางอุดมการณ์: มาในรูปแบบของการ “บิดเบือน” ข้อมูล สร้างชุดความเชื่อใหม่ที่ผิดเพี้ยน (เช่น เรื่อง ม.112 ที่เป็นกฎหมายปกติที่ทั่วโลกมีเพื่อคุ้มครองประมุข แต่ถูกบิดเบือนว่าเป็นปัญหา) สิ่งนี้ตรวจสอบยากกว่า และฝังรากลึกในความคิดคน ซึ่งแก้ยากกว่าการยึดทรัพย์นักการเมืองโกง “ความซื่อสัตย์สุจริตทางการเงิน เป็นคุณสมบัติที่ ‘จำเป็น’ แต่ยัง ‘ไม่เพียงพอ’ สำหรับคนที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ” ผู้นำประเทศ ต้องมีความ “จงรักภักดีและยึดมั่นในระบอบการปกครอง” เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด
พรรคที่มือสะอาดไม่โกงเงิน เป็นเรื่องดี… แต่ถ้าเขามีเจตนาจะรื้อถอนเสาหลักของบ้านที่เราอาศัยอยู่ เราก็ไม่สามารถเปิดประตูรับเขาเข้ามาได้เพราะประเทศที่ล่มจมเพราะโกง ยังพอมีทางกอบกู้… แต่ประเทศที่ล่มสลายเพราะถูกเปลี่ยนระบอบและสิ้นชาติ จะไม่มีอะไรเหลือให้ลูกหลานอีกเลย
รวมไทยสร้างชาติ
อาจมีผสมผสานกลุ่มบ้านใหญ่บ้างในบางพื้นที่ แต่ภาพรวมยังถือว่าขับเคลื่อนด้วย “ความนิยมในตัวผู้นำและจุดยืนปกป้องสถาบันฯ” เป็นหลัก ความชัดเจนเรื่อง ม.112 ว่า “ไม่แตะ” และการเข้าร่วมรัฐบาลข้ามขั้ว ถูกมองว่าเป็น “ความเสียสละเชิงยุทธศาสตร์” คือยอมร่วมงานกับเพื่อไทย เพื่อปิดสวิตช์ก้าวไกล(ประชาชน) ไม่ให้ขึ้นสู่อำนาจ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ล่าสุดกลายเป็น “จุดหักเหสำคัญ” ของพรรครวมไทยสร้างชาติจากผู้ปกป้องระบอบ… แต่(ถูกมองว่า)เพิกเฉยต่ออธิปไตย ด้วยอาการ “เกาะเกี่ยวอำนาจ จนเกิดวิกฤตศรัทธา เดิมทีถูกมองว่าเป็นความเสียสละเพื่อชาติ แต่เมื่อเกิดกรณีข้อพิพาทเรื่องอธิปไตย (กรณีฮุนเซน) และผู้นำพรรคเลือกที่จะยืนเคียงข้างนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย แทนที่จะยืนเคียงข้างความกังวลของประชาชน
ทำให้เกิดคำถามว่า… นี่คือการเสียสละเพื่อชาติ หรือเพื่อรักษาเก้าอี้? และเมื่อความไว้วางใจแตกสลาย สมาชิกพรรคเริ่มตีจาก
ประเด็นนี้ส่งผลให้น้ำหนักของ “ประชาธิปัตย์” และ “ไทยภักดี” พุ่งสูงขึ้นทันที เพราะประชาธิปัตย์และไทยภักดี ได้คะแนนจากคนที่ไม่พอใจ รทสช. เรื่อง “จุดยืนชาตินิยม” -> คะแนนไหลไป ปชป. และไทยภักดี
หากเปรียบประเทศเป็น “บ้าน” บทวิเคราะห์ทั้งหมดชี้ชัดแล้วว่า:
1. เราเลือก “พรรคประชาชน” ไม่ได้ เพราะเขาคือ “คนวางเพลิงเผาเสาเข็ม” (สะอาดแต่อันตราย)
2. เราเลือก “พรรคภูมิใจไทย” ได้แบบจำยอม เพื่อกันไฟไหม้ แต่ต้องแลกกับการเลี้ยง “ปลวก” (ปลอดภัยแต่เทา)
3. ติ่งคุณพีรพันธ์อาจยังภักดีต่อรวมไทยสร้างชาติต่อไป
4. อย่างไรก็ตาม “ประชาธิปัตย์” และ “ไทยภักดี” ดูจะเป็นทางออกใหม่ เพราะ
พรรคประชาธิปัตย์ยุคผลัดใบ คือการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคและการกลับมาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถือเป็นการ “กดปุ่ม Reset” ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ที่จะเป็นทางเลือกที่สะอาดและปลอดภัย “ไม่โกง” และ “ไม่ล้มล้าง” อยู่ในพรรคเดียวกันได้ เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ต้องการกวาดล้างทั้งปลวกและคนวางเพลิงไปพร้อมกัน
ไทยภักดี คือ “เกราะป้องกันภัยสูงสุด” เป็นหลักประกันที่มั่นคงที่สุดว่า ไม่ว่ากระแสการเมืองจะเปลี่ยนไปทางไหน สถาบันหลักของชาติจะถูกปกป้องไว้ด้วยชีวิต
หมายเหตุ ข้อสรุปนี้อยู่ในประเด็นเรื่องการไม่ซื้อเสียง ความจงรักภักดี และไม่ล้มล้างต่อระบบ
การเมืองรอบนี้ไม่มี พระเอกขี่ม้าขาว ที่สมบูรณ์แบบ 100% เราต้องถามตัวเองว่า เราให้ราคากับอะไรมากที่สุด? เลือกแบบไหน ได้ประเทศแบบนั้นครับ”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จับตา ‘ลูกชายเดชอิศม์’ กลับลำ ทิ้ง ปชป. ซบกล้าธรรม
พรรคกล้าธรรมขยับต่อเนื่อง หลัง “วงศ์วชร-บารมี ขาวทอง” สมัครสมาชิกและเตรียมลงสนาม สงขลา ล่าสุดมีสัญญาณว่า “ศักดิ์สิทธิ์ ขาวท
ฉุดไม่อยู่! เพื่อไทยโวแหลก ‘ยศชนันท์’ กระแสแรงเกินคาด ผวาปฏิบัติการ ‘บล็อคเชน’
รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โวแหลกกระแสตอบรับ “ดร.เชน-ยศชนันท์” แคนดิเดตนายกฯ มาแรงเกินคาด จากเดิมถูกมองลำดับท้าย ขยับขึ้นแนวหน้าบางโพลนอกระบบ เตือนอาจเผ
'แสวง' ขอ 15 วันรู้แน่ประชามติรัฐธรรมนูญวันไหน!
'แสวง' ติวเข้มข้อกฎหมายตัวแทนพรรคการเมือง เตรียมพร้อมเลือกตั้ง - ประชามติ หวังทำถูกต้อง คาด 15 วันรู้วันทำประชามติ
นับหนึ่งสนามเลือกตั้ง 69 สำรวจบ้านเล็ก-บ้านใหญ่ บนแผนที่ภูมิใจไทย
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเตรียมพร้อมอย่างเป็นทางการ
'เทพไท' วิเคราะห์แคนดิเดตนายกฯ 4 พรรค!
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหา
ภูมิใจไทยปลุกพลังผู้สมัครสส. ชูสโลแกน 'พูดแล้วทำพลัส' ตั้งเป้าเกิน 200 ที่นั่ง!
แกนนำภูมิใจไทยกำชับว่าที่ผู้สมัคร สส.เดินเกมเลือกตั้งตามกติกา กกต. ชูผลงานรัฐบาลเป็นจุดขาย พร้อมปลุกใจหากทุ่มเทเต็มที่ มีลุ้นกวาดเกิน 200 ที่นั่ง มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีแนวโน้มคลี่คลายก่อนปีใหม่

