
24 ธ.ค.2568- รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความเรื่อง เมื่อประเทศถูกทำให้เชื่อว่า “มีบางคนขาดไม่ได้” มีเนื้อหาดังนี้
ในท่ามกลางความผันผวนของฉากทัศน์ทางการเมืองไทย เรามักพบเห็นการปรากฏตัวของวาทกรรมที่ห่อหุ้มด้วยการเสียสละอย่างสูงส่ง ดังเช่นประโยคที่ว่า “ถ้าประเทศไทยไปได้โดยไม่มีผม ผมจะวางมือทางการเมือง” แม้ถ้อยคำนี้จะเหมือนการแสดงถึงความรับผิดชอบและพันธสัญญาที่แรงกล้า แต่หากเอาสิ่งที่เป็นนามธรรมออก จะพบว่าแฝงไปด้วยความย้อนแย้งและถ่วงรั้งต่อพัฒนาการประชาธิปไตย เพราะหัวใจของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความตั้งใจของผู้พูด ที่อาจเปรียบเปรยด้วยความปรารถนาดี แต่อยู่ที่การตั้ง “เงื่อนไข” ที่ไม่อาจพิสูจน์หรือวัดผลได้ คำว่า “ประเทศไปได้” ไม่มีนิยามตายตัว และไม่มีเส้นแบ่งใดที่สังคมใช้ร่วมกันว่า เมื่อใดจึงเรียกได้ว่าประเทศ “ไปได้” และมีความพร้อมมากพอที่จะไม่ต้องพึ่งพาใครเป็นพิเศษ เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้ “การวางมือทางการเมือง” กลายเป็น “ภาพลวงตา” ที่สามารถเลื่อนออกไปได้ไม่รู้จบ และเปิดช่องให้การคงอยู่เพื่อยึดกุมพื้นที่แห่งอำนาจถูกฟอกขาวด้วยคำว่า “ความจำเป็น” เพื่อให้ประเทศไทย “ไปได้” มากกว่าจะเป็นผลจากการตัดสินใจของประชาชน
สภาวะการสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคลหรือการผูกขาดชะตากรรมของแผ่นดินไว้กับลมหายใจทางการเมืองของคน ๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะมาจากฟากฝั่งสีใด อุดมการณ์ใด คือการดูแคลนศักยภาพของสังคมอย่างรุนแรง สมมติฐานที่เชื่อว่าความสามารถ ความดีงาม หรือสติปัญญาที่ประเทศโหยหานั้น มีสถิตอยู่เพียงในตัวคน ๆ เดียว คือการยกตนขึ้นเป็นสรณะในระดับที่สูงส่งจนน่าตกใจ ขณะเดียวกันก็เป็นการด้อยค่าพลเมืองคนอื่น ๆ เพราะเมื่อใดที่สังคมถูกทำให้เชื่อว่าประเทศจะ “ไปไม่ได้” หากขาดใครคนหนึ่ง ย่อมเท่ากับเราเห็นว่าคนอื่น ๆ ยังไม่ดีพอ ยังไม่เก่งพอ หรือยังไม่คู่ควรพอที่จะร่วมกันรับผิดชอบบ้านเมือง นักการเมืองคนอื่น ๆ ข้าราชการ นักวิชาการ กลไกสถาบัน และประชาชนนับล้านคน ยังไร้เดียงสาและไร้สมรรถภาพเกินกว่าจะประคับประคองบ้านเมืองได้ด้วยตนเอง
นี่คือทัศนคติแบบชนชั้นนำที่มองลงมาจากหอคอยงาช้าง และเป็นการประเมินค่าเพื่อนร่วมชาติให้ต่ำต้อยกว่าตนเองอย่างชัดแจ้งแม้จะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ วาทกรรมชุดนี้กำลังทำหน้าที่เป็น “กรงขัง” ทางความคิดที่สกัดกั้นไม่ให้ระบบการเมืองไทยวิวัฒน์ไปสู่ความยั่งยืน เพราะตราบใดที่สังคมยังติดหล่มอยู่กับความพึ่งพาตัวบุคคล ความพยายามในการสร้างสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งจะถูกละเลยไปสิ้นเชิง การเปลี่ยนผ่านอำนาจที่ควรจะเป็นเรื่องปกติและสง่างามในระบอบประชาธิปไตย กลับถูกทำให้ดูเหมือนเป็นความเสี่ยงภัยอันใหญ่หลวง หรือเป็นโศกนาฏกรรมที่จะทำให้ประเทศ “ไปไม่ได้” การสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดวิตกเช่นนี้ คือเครื่องมือชั้นดีในการรักษาอำนาจนำ โดยการทำให้สังคมเชื่อว่าการขาด "ผู้นำที่ขาดไม่ได้" คือจุดจบของอนาคต ทั้งที่ในความเป็นจริง สถาบันการเมืองที่แข็งแรงย่อมไม่มีใครมีอำนาจเหนือกว่ากฎเกณฑ์ และไม่มีใครสำคัญไปกว่ากลไกที่ประชาชนร่วมกันสร้างขึ้น
สังคมไทยต้องร่วมกันตั้งคำถามต่อวัฒนธรรมการเมืองที่เสพติดการแสวงหา “อัศวินม้าขาว” มาแบกรับชะตากรรมของชาติเพียงลำพัง เพราะประวัติศาสตร์ได้สอนเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ประเทศที่ยืนอยู่ได้ด้วยความหลงเชื่อว่าใครบางคน “ขาดไม่ได้” มักจบลงด้วยความเปราะบางและการล่มสลายของระบบสถาบันเมื่อคน ๆ นั้นหายไป ประเทศที่เข้มแข็งและมีอารยะที่แท้จริงไม่ควรฝากความหวังไว้ที่โชคชะตาหรือคนเพียงคนเดียว แต่ควรยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความเชื่อมั่นว่าคนธรรมดาที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ย่อมมีศักยภาพมากพอที่จะพาสังคมเดินหน้าต่อ “ไปได้” โดยไม่ต้องรอการอนุมัติ หรือการ “วางมือ” จากใครคนใดคนหนึ่ง เพราะประชาธิปไตยคือระบอบที่ทุกคนต้องร่วมกันแบกรับ ไม่ใช่ระบอบที่มีใครคนหนึ่งแบกประเทศไว้ แล้วบอกคนอื่นว่า “พวกคุณยังไม่ดีพอ” มีแต่ผมคนเดียวที่จะทำให้ประเทศ “ไปได้”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การตั้งคำถามต่อการใช้กำลังของรัฐ : เหตุผล ความรับผิดชอบ และอคติทางการเมือง
รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความเรื่อง การตั้งคำถามต่อการใช้กำลังของรัฐ : เหตุผล ความรับผิดชอบ และอคติทางการเมือง มีเนื้อหาดังนี้
เลือกตั้งระหว่างสงคราม : ผลักประเทศเข้าสู่จุดเปราะบางที่สุด
รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทตวมม เรื่อง เลือกตั้งระหว่างสงคราม: ผลักประเทศเข้าสู่จุดเปราะบางที่สุด มีเนื้อหาดังนี้
อย่ารีบ เจรจาหยุดยิง หากยังไม่สร้าง สันติภาพที่ยั่งยืน
รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความ เรื่อง อย่ารีบเจรจาหยุดยิง หากยังไม่สร้างสันติภาพที่ยั่งยืน มีเนื้อหาดังนี้
ผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีบอก ปชน.ได้บริหารประเทศมีเลือกตั้งผู้ว่าฯ แน่
'ธนาธร' กางโรดแมปเลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ หาก 'ปชน.' ได้บริหารประเทศ ย้ำจุดยืน อยากให้บ้านเมืองพัฒนาจริง ต้องให้ท้องถิ่นจัดการตนเอง
ความสมดุลของการรักษาอธิปไตยและการใช้กำลัง : สำหรับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความเรื่อง ความสมดุลของการรักษาอธิปไตยและการใช้กำลัง : สำหรับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา มีเนื้อหาดังนี้
เพื่อนซี้ธนาธรฟันธงเลือกตั้งสมัยหน้าหาก 'อนุทิน' แพ้วางมือทางการเมืองแน่!
นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน บุคคลใกล้ชิดนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

