การรอดพ้นจาก คดี 112 ของ ทักษิณ ชินวัตร อาจคล้ายฝนที่ขาดเม็ดลงชั่วขณะ แต่ขอบฟ้ายังเต็มไปด้วยเงามืดของ พายุใหญ่—คดีบังคับโทษในศาลฎีกาฯ ที่รออยู่เบื้องหน้า มิใช่เพียงการตัดสินชะตาชายคนหนึ่ง หากคือการวัดพลังและรอยร้าวของการเมืองไทยทั้งผืน ที่ไม่เคยสมานได้ตลอดกว่าสองทศวรรษ
คำพิพากษาของ ศาลอาญา ที่เพิ่งยกฟ้องคดี มาตรา 112 ของ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้บรรยากาศการเมืองคลายตึงชั่วครู่ ราวกับฝนหนักที่เพิ่งซา ท้องฟ้าอาจดูโปร่งขึ้นเล็กน้อย แต่ผู้เฝ้ามองย่อมรู้ดีว่า พายุใหญ่ ยังคงตั้งเค้าอยู่เบื้องหน้า
ในเชิงกฎหมาย คำพิพากษานี้เป็นเพียง จุดเริ่มต้น เพราะเส้นทางยังทอดยาวไปสู่ ศาลอุทธรณ์ และ ศาลฎีกา การยกฟ้องของศาลชั้นต้นไม่ได้ปิดฉากความขัดแย้ง หากกลับเปิดประตูสู่คำถามใหม่ว่า เส้นทางของทักษิณจะเดินไปถึงไหน และจะส่งแรงสั่นสะเทือนต่อ สมดุลการเมืองไทย อย่างไร
ที่สำคัญกว่านั้น คือภาพสะท้อนในสังคม ฝ่ายหนึ่งเปรียบคำพิพากษาเหมือน ฝนชุ่ม ที่มอบความชอบธรรมคืนมา ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าเป็น หมอกควัน ที่ปกคลุมไฟ ไม่ได้ดับ หากแต่ซ่อนเปลวไฟให้ลุกต่อใต้เถ้าถ่าน และทั้งหมดนี้ก็คือฉากเปิดของ พายุใหญ่ ที่ยังตั้งเค้าอยู่เบื้องหน้า
หากมองลึกลงไป การเมืองไทย ในห้วงปัจจุบันไม่ได้ผูกกับ สถาบันทางการเมือง ที่มั่นคง หากแต่ผูกกับ บุคคลและตระกูล ที่ครอบครองพลังอำนาจอย่างต่อเนื่อง และ ตระกูลชินวัตร ก็คือภาพสะท้อนที่เด่นชัดที่สุด ทั้งจากตัว ทักษิณ เอง และจากการก้าวขึ้นของบุตรสาว แพทองธาร ชินวัตร
ความไม่แน่นอนจึงมิได้อยู่แค่ตัวคดี หากอยู่ที่การตีความ เสถียรภาพทางการเมือง นักการเมืองจำนวนมากมองว่าเสถียรภาพคือ เก้าอี้ที่มั่นคง ของตน แต่แท้จริงแล้วเสถียรภาพที่แท้ต้องหมายถึง ชีวิตที่มั่นคงของประชาชน ยิ่งเก้าอี้แน่นหนา ชีวิตผู้คนกลับยิ่งสั่นไหว นี่คือความย้อนแย้งที่สะท้อนชัดเจนในทุกวิกฤติ
แล้วก็มาถึงคดีที่ถูกจับตามองที่สุด—คดีบังคับโทษชั้น 14 ที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำสั่งในวันที่ 9 กันยายน คดีนี้คือ หัวใจสำคัญ เป็นเสมือน คมดาบ ที่แขวนอยู่เหนือศีรษะ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เส้นทางของ การเมืองไทย ย่อมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ในอีกฟากหนึ่ง แพทองธาร ชินวัตร ต้องเผชิญกับ คดีคลิปเสียงสนทนากับฮุน เซน ที่ ศาลรัฐธรรมนูญ เตรียมวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม แม้มิใช่คดีอาญา แต่กลับมีแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองมหาศาล เพราะอาจหมายถึงการพ้นจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งขึ้นนั่งเก้าอี้ได้ไม่นาน
นี่คือภาพที่ปรากฏชัด—พ่อในศาลฎีกา และลูกในศาลรัฐธรรมนูญ ความจริงนี้กำลังเป็นตัวกำหนดทิศทางของประเทศ คดีทั้งสองสะท้อนให้เห็นว่า การเมืองไทย ยังผูกติดอยู่กับชะตาของตระกูลทางการเมือง มากกว่าจะยืนอยู่บนหลัก สถาบันที่แข็งแรงและยั่งยืน
ประชาชน จึงกลายเป็นผู้รอคอย ลุ้นอนาคตประเทศเสมือนลุ้นคำตัดสินในละครเวทีใหญ่ ทุกฉากเต็มไปด้วย ความไม่แน่นอน ขณะที่สิ่งที่ควรมั่นคงกลับไม่เคยถูกสถาปนาอย่างแท้จริง
สิ่งที่ดำเนินอยู่ไม่ใช่แค่ การต่อสู้เชิงนโยบาย หากแต่เป็น การประลองเชิงความทรงจำ ฝ่ายหนึ่งยังยึดมั่นกับภาพวันเวลาแห่ง ความมั่งคั่ง และโครงการที่แตะปากท้อง อีกฝ่ายจดจำการใช้อำนาจเพื่อ พวกพ้อง และเงาของ คอร์รัปชัน ที่ไม่เคยเลือนหายไปจาก การเมืองไทย
ความทรงจำที่สวนทางกันเหล่านี้กลายเป็น เชื้อเพลิงแห่งความขัดแย้ง ที่ไม่เคยดับ ทุกครั้งที่ ตระกูลชินวัตร กลับมาเวที พายุใหญ่แห่งการแบ่งขั้ว ก็หวนกลับมา ประเทศชาติไม่เคยได้พักฟื้นจากรอยแผล หากแต่ต้องหมุนวนอยู่ในวงจรการเมืองแบบตระกูล
คดีของทักษิณและแพทองธารจึงไม่ใช่เพียงการพิจารณาข้อกฎหมาย หากแต่เป็น กระจกสะท้อนสังคมไทยที่แตกออกเป็นสองฟาก ฝ่ายหนึ่งยังเชื่อมั่นว่าพวกเขาคือ เหยื่อทางการเมือง ขณะที่อีกฝ่ายกลับมองว่านี่คือเครื่องมือสำคัญในการ ถ่วงดุลอำนาจ ของ การเมืองแบบตระกูล ที่ยืดเยื้อมายาวนานกว่าสองทศวรรษ
ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า สถาบันทางการเมืองไทยยังไม่อาจยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ภาระหนักจึงมักถูกโยนไปยังศาลให้กลายเป็นเวทีกลางในการคลี่คลายความขัดแย้ง แทนที่จะเป็นสภาหรือพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่นั้นโดยตรง การเมืองไทยจึงยังดำเนินไปบนเส้นทางของบุคคลและเครือข่าย มากกว่าจะเป็นเส้นทางที่ประชาชนกำหนดร่วมกันอย่างแท้จริง
เมื่อหันไปข้างหน้า 29 สิงหาคม และ 9 กันยายน จึงกลายเป็น สองเส้นตาย ที่ตั้งเค้า พายุใหญ่ เหนือประเทศ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลทั้งคณะ ย่อมทรุดฮวบลงทันที ราวกับ ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกโค่นล้มกลางสายฝน ส่วน คดีบังคับโทษของทักษิณ ใน ศาลฎีกา ก็คือ ดาบอีกเล่มที่แขวนเหนือศีรษะ พร้อมจะตัดสินว่าเรื่องราวทั้งหมดจะ สิ้นสุดลง หรือ เปิดฉากใหม่ที่ซับซ้อนและมืดมนยิ่งกว่าเดิม
ผลลัพธ์ไม่ว่าหันไปทางใด ย่อมสร้าง แรงสะเทือน เพราะไม่ได้กระทบเพียงบุคคลในคดี หากกระทบต่อ โครงสร้างทางการเมือง ทั้งระบบ การเมืองไทย จึงยังคงหมุนวนกับตัวบุคคลและตระกูล มากกว่าจะยืนหยัดบนความมั่นคงของสถาบัน
พายุใหญ่ ที่รออยู่ ไม่ใช่เพียงพายุแห่งคดีความ แต่คือพายุของ สังคมไทย ที่ยังไม่เคยสร้างคำตอบร่วมกันได้ ความแตกแยก ที่ลากยาวกว่าสองทศวรรษทำให้ประเทศติดอยู่ในวังวนของ การเมืองแบบตระกูล ไม่อาจสร้างรากฐานที่มั่นคงของ การเมืองไทย ได้เลย
การเมืองที่ผูกพันกับ ชื่อสกุล ไม่เคยสร้างรากที่ยืนยาวให้แผ่นดินนี้ได้ หากสังคมยังคงฝากชะตากรรมไว้กับ เครือข่ายของคนเพียงไม่กี่ตระกูล ประเทศไทยก็จะยังคงติดอยู่ในวังวนเดิม—รอ พายุใหญ่ลูกใหม่ โหมซัดซ้ำ โดยไม่มีวันได้พบ ฤดูกาลแห่งความมั่นคงที่แท้จริง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
'ทักษิณ' ร่วมเวที 'เสก โลโซ' ร้องเพลงใจสั่งมา ในเรือนจำกลางคลองเปรม
"ทักษิณ" ขึ้นเวทีเรือนจำฯ ควงไมโครโฟนร้องเพลง "ใจสั่งมา" บรรยากาศอบอุ่นมวลความสุข เพื่อนผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ต่างลุกโชว์สเต็ปแด๊นซ์
เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'
จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หิ้ว 'นานา ไรบีนา' ฝากขังค้านประกันตัว!
ตำรวจสอบาวนกลางคุมตัว 'นานา ไรบีนา' ฝากขังคัดค้านการประกันตัว
มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน
คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า


