เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธร่อนทางยุทธศาสตร์ 2 ลูกจากเรือดำน้ำ

เกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธร่อนทางยุทธศาสตร์ 2 ลูกจากเรือดำน้ำ เพื่อแสดงแสนยานุภาพก่อนที่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้จะซ้อมรบร่วมทางทหารครั้งใหญ่

แฟ้มภาพ การทดสอบยิงขีปนาวุธร่อนจากเรือดำน้ำ (Photo by South Korean Defence Ministry / SOUTH KOREAN DEFENCE MINISTRY / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 กล่าวว่า เรือดำน้ำของเกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธร่อนทางยุทธศาสตร์ 2 ลูก จากน่านน้ำนอกเมืองชายฝั่งตะวันออกของเมืองชินโปเมื่อเช้าวันอาทิตย์ ตามรายงานของสำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ)

เคซีเอ็นเอระบุอีกว่า การทดสอบประสบความสำเร็จด้วยดี เนื่องจากขีปนาวุธสามารถโจมตีเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งเป็นน่านน้ำแห่งหนึ่งนอกชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลี

ขณะที่กลาโหมเกาหลีใต้ระบุว่าตรวจพบการยิงขีปนาวุธเพียงลูกเดียว และไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆเพิ่มเติม ตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮัป

การทดสอบครั้งนี้มีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เกาหลีใต้และสหรัฐฯ จะเริ่มต้นการซ้อมรบร่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปีในวันจันทร์ ซึ่งรัฐบาลเปียงยางเตือนว่าการซ้อมรบดังกล่าวถือเป็น "การประกาศสงคราม"

รายงานของเคซีเอ็นเอเรื่องการทดสอบขีปนาวุธเมื่อวันอาทิตย์ ระบุว่า การทดสอบยิงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเกาหลีเหนือในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่จักรวรรดินิยมสหรัฐฯและกองกำลังหุ่นเชิดอย่างเกาหลีใต้ทำการซ้อมรบต่อต้านเกาหลีเหนือ

ในถ้อยแถลงอีกฉบับหนึ่ง กระทรวงต่างประเทศของเกาหลีเหนือระบุว่า สหรัฐฯวางแผนเรียกประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในประเด็นเกาหลีเหนือ เพื่อให้สอดรับกับการซ้อมรบร่วมกัน

"เกาหลีเหนือขอประณามความพยายามในการเปิดประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ ว่าเป็นการแสดงออกถึงนโยบายที่เป็นศัตรูต่อเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน" กระทรวงฯ ระบุ

ทั้งนี้ รัฐบาลวอชิงตันและรัฐบาลโซลได้เพิ่มความร่วมมือด้านกลาโหมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือภัยคุกคามทางทหารและอาวุธนิวเคลียร์ที่เพิ่มขึ้นจากเกาหลีเหนือซึ่งได้ทำการทดสอบอาวุธหลายต่อหลายครั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

การซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีใต้มีชื่อว่า "ฟรีดอมชีลด์" และมีกำหนดดำเนินการประมาณ 10 วันเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม โดยจะมุ่งเน้นไปที่สภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากความก้าวร้าวที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของเกาหลีเหนือ.