อินโดนีเซียจับมืออียู ลงนามข้อตกลงการค้าที่รอคอยกันมานาน

อินโดนีเซียและสหภาพยุโรปได้สรุปการเจรจาข้อตกลงการค้าที่ยืดเยื้อกันมานานเกือบทศวรรษ

แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีเศรษฐกิจอินโดนีเซีย (ซ้าย) และมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป ถ่ายภาพร่วมกับเอกสารที่ลงนามระหว่างการประกาศร่วมเกี่ยวกับความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุมระหว่างอินโดนีเซียและสหภาพยุโรป (CEPA) ณ เกาะนูซาดูอา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 23 กันยายน (Photo by SONNY TUMBELAKA / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 23 กันยายน 2568 กล่าวว่า ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมระหว่างอินโดนีเซียและสหภาพยุโรป (CEPA) เป็นข้อตกลงฉบับที่สามที่อียูได้ลงนามกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อจากสิงคโปร์และเวียดนาม

ข้อตกลงดังกล่าวลงนามโดยมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป และแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ณ เกาะบาหลี และจะเปิดกว้างการลงทุนในภาคส่วนยุทธศาสตร์ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเวชภัณฑ์

"การบรรลุข้อตกลงนี้ สหภาพยุโรปและอินโดนีเซียกำลังส่งสารอันทรงพลังไปยังทั่วโลกว่าเรายืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกันในความมุ่งมั่นของเราที่จะเปิดกว้างบนพื้นฐานของกฎระเบียบและการค้าระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน" เซฟโควิชกล่าวหลังจากการลงนาม

"โดยรวมแล้ว ผู้ส่งออกจากสหภาพยุโรปจะประหยัดภาษีศุลกากรที่จ่ายให้กับสินค้าที่เข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียได้ประมาณ 600 ล้านยูโรต่อปี และสินค้าจากยุโรปจะมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภคชาวอินโดนีเซีย" เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานสหภาพยุโรปกล่าวในแถลงการณ์

อินโดนีเซียได้เริ่มเจรจากับสหภาพยุโรปมาตั้งแต่ปี 2016 แต่ในช่วงแรกการเจรจาข้อตกลงการค้ายังไม่คืบหน้ามากนัก

ประเด็นต่างๆ เช่น น้ำมันปาล์มและการตัดไม้ทำลายป่าเป็นอุปสรรคสำคัญมาตลอด แต่นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สร้างความเร่งด่วนที่จะต้องเร่งรัดข้อตกลง

สหภาพยุโรประบุในแถลงการณ์โดยไม่ได้ให้รายละเอียดว่า ข้อตกลงการค้าดังกล่าวยังรวมถึงพิธีสารเกี่ยวกับน้ำมันปาล์มด้วย

"นี่เป็นการเดินทางสิบปีที่นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราและความมุ่งมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง, เป็นธรรม และยั่งยืน" รัฐมนตรีเศรษฐกิจอินโดนีเซียกล่าวในการแถลงข่าว

แอร์ลังกากล่าวเสริมว่า ข้อตกลงนี้น่าจะมีผลบังคับใช้ได้ภายในปี 2027

แอร์ลังกาเคยกล่าวเมื่อเดือนมิถุนายนว่า ประมาณ 80% ของสินค้าส่งออกอินโดนีเซียไปยังสหภาพยุโรปจะได้รับการยกเว้นภาษีหลังจากข้อตกลงมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสินค้าส่งออกหลักของประเทศไปยังสหภาพยุโรป รวมถึงน้ำมันปาล์ม, รองเท้า, สิ่งทอ และผลิตภัณฑ์ประมง

ทั้งนี้ สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 5 ของอินโดนีเซีย โดยมีมูลค่าการค้าทวิภาคีสูงถึง 30,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว และข้อตกลงดังกล่าวจะเปิดทางให้สหภาพยุโรปเข้าถึงตลาดอินโดนีเซียซึ่งมีประชากรราว 280 ล้านคนได้มากขึ้น

ความสัมพันธ์ระหว่างสองคู่ค้าตึงเครียดจากปัญหาต่างๆ รวมถึงการที่อียูเสนอให้ห้ามนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า จึงสร้างความไม่พอใจให้กับอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่

ภายใต้กฎระเบียบการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป การส่งออกสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ถั่วเหลือง, ไม้ซุง, น้ำมันปาล์ม, ปศุสัตว์, กระดาษพิมพ์ และยางพารา จะถูกห้าม หากผลิตในพื้นที่ที่ถูกตัดไม้ทำลายป่าหลังเดือนธันวาคม 2020

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สหภาพยุโรปได้เสนอให้เลื่อนการบังคับใช้กฎระเบียบออกไปอีกหนึ่งปี หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวกังวลว่าข้อตกลงการค้าจะนำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่ามากขึ้น อันเนื่องมาจากความต้องการน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

SCB EIC ชี้ปี69อุตฯอาหารทะเลไทยเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งภาษีทรัมป์-แข่งขันรุนแรง

SCB EIC มองอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยในปี 2569 มีแนวโน้มเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านลบสูงขึ้น ทั้งจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ ภาษีทรัมป์ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

'นักวิชาการ' ชี้นายกฯป้องอธิปไตย ไม่ทำไทยเสี่ยง 'รัฐบริวาร'

รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไทยไม่ใช่ “รัฐบริวาร”!