STAGFLATION ผูกขาดทำน้ำมันแพง รัฐบาลอาจล้มได้

น้ำมันเป็นปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการผลิต ราคาสินค้าจะถูกจะแพงขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิตที่มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบสำคัญ หลายชาติในยุโรปน้ำมันแพงเคยถึงกับทำรัฐบาลล้มลงได้เลย อาจเป็นเพราะชาวยุโรปตื่นคิดตื่นรู้สำนึกประชาธิปไตยสูง จึงลุกขึ้นประท้วงความไม่ถูกต้องของรัฐ

น้ำมันในประเทศไทยช่วงนี้มีราคาแพง (ตาราง 1 และ 2) ทั้งเบนซิน 95 และดีเซลของไทยแพงกว่าพม่าและมาเลเซีย น้ำมันราคาแพงจะกระทบต่อภาคผู้บริโภค ภาคส่งออก ภาคขนส่ง ภาคผู้ประกอบการทั่วไทย จากต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการสูงขึ้น เพิ่มดัชนีราคา เกิด ภาวะเงินเฟ้อ เมื่อข้าวของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น จะเกิดวิกฤตใหญ่ 2 ด้านพร้อมกันเรียกว่า STAGFLATION กล่าวคือราคาข้าวของแพง (INFLATION) ท่ามกลางความฝืดเคือง (STAGNATION) จากวิกฤตว่างงาน ขาดรายได้ ไม่มีกำลังซื้อ” หากเกิดวิกฤต 2 ด้านไปพร้อมกันจะเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากยิ่ง ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ข้าวยากหมากแพง” เช่น “ผักแพง ค่าแรงถูก”

ขณะนี้ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา STAGFLATION เกิดขึ้นแล้ว ถือเป็นภัยคุกคามใหม่ทางเศรษฐกิจ สร้างความกังวลใจต่อภาครัฐและภาคเอกชน  แถมถูกซ้ำเติมจากการระบาดโควิดสายพันธุ์เดลตาพลัสระลอกใหม่อย่างกว้างขวาง ถึงกับต้องปรับตัวอุตลุด ของแพงเงินเฟ้อพุ่งสูงป่วนโลก วิกฤตเงินเฟ้อ กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก หลายประเทศส่อเกิด วิกฤตเงินเฟ้อรุนแรง (HyperInflation) ข้าวของแพงจะทะลุพิกัด!

            ราคาน้ำมันเมืองไทยช่วงนี้แพง เป็นผลมาจาก กฎหมายไทย และระบบการจัดการ แบบสัมปทานผูกขาดน้ำมัน เมื่อรัฐบาลไทยทำตามความคิดฝรั่งที่ทำให้เกิด ระบบสัมปทานผูกขาด บริษัทน้ำมันเอกชนจึงกลายเป็นเจ้าของทรัพยากรน้ำมันของชาติ สามารถผูกขาดธุรกิจน้ำมันได้ กอบโกยกำไรมหาศาลเรื่อยมายาวนาน 50 ปีแล้วจนถึงปัจจุบันนี้ (2514-2564)

ปฐมบทของเรื่องเริ่มจากปี 2514 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเย็น ที่เสรีนิยมสู้กับคอมมิวนิสต์ โดยอาศัย Hard Power ส่งกองทัพอเมริกาทำสงครามอินโดจีนและเวียดนาม และอาศัย Soft Power ไล่ล่าน้ำมันปิโตรเลียม แทรกแซงรัฐไทยออกกฎหมาย “พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปิโตรเลียม พ.ศ.2514” ในสมัยรัฐไทยเผด็จการทหารจากรัฐประหาร พ.ร.บ.ฉบับนี้มีจุดอ่อนมากที่สุด เพราะกำหนดให้ใช้ ระบบสัมปทาน ในการผลิตน้ำมันและปิโตรเลียม โดยยกกรรมสิทธิ์ในน้ำมันและปิโตรเลียมที่ขุดได้  ให้เป็นของธุรกิจเอกชนผู้รับสัมปทานทั้งหมด

พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 ของไทยร่างโดย นายวอลเตอร์ ลีวาย มันสมองคนสำคัญของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่แห่งตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีอเมริกัน อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาของธนาคารโลกอีกด้วย หลังจากนั้นบริษัทน้ำมันผูกขาดรายใหญ่อเมริกันได้ปักธงมากกว่า 50% ของการขุดเจาะน้ำมันและปิโตรเลียมทั่วไทย “พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514” ถูกขนานนามว่าเป็น “กฎหมายฉบับฝรั่งร่างฝรั่งรวย” ศาสตราจารย์ ดร.ไมเคิล แทนเซอร์ นักเศรษฐศาสตร์พลังงานชั้นนำของโลกวิจารณ์ว่า กฎหมายน้ำมันของไทย เป็นกฎหมายที่ล้าหลังมากที่สุดในโลกในยุคนั้น  นับเป็นกฎหมายที่เป็นปฐมบทของการเสียเปรียบบริษัทน้ำมัน  รัฐสยบยอมให้สัมปทานบรรษัทข้ามชาติผูกขาดทำธุรกิจน้ำมันยาวนานถึง 52 ปี เป็นที่น่าเสียดายมากว่าประเทศไทยมีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่ประชาชนไทยได้รับประโยชน์แค่บางส่วนเพียงน้อยนิดมาก เพราะถูก “ทรราชน้ำมัน  (Oil Tyranny)” TNCs ฉกฉวยปล้นไปเกือบทั้งหมด

นายปีเตอร์ พี มิลเลอร์ นักกฎหมายพลังงานปิโตรเลียมได้วิเคราะห์ไว้ในหนังสือเรื่อง Energy Law (1981)  ว่ารากฐานจากระบบสัมปทานแบบดั้งเดิม ที่มาจากประเทศตะวันตกเมื่อนำมาใช้กับประเทศอาณานิคม และด้อยพัฒนารวมทั้งไทย เป็นไปเพื่อเข้าครอบครองกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมและน้ำมันอย่างเบ็ดเสร็จในยุคล่าเมืองขึ้น ตามแนวความคิดเศรษฐศาสตร์อาณานิคม (Colonial Economics)

ในหนังสือเรื่อง Hard Choices” (2014) ที่เขียนโดย นางฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ และอดีตสตรีหมายเลข 1 ช่วง นายบิล คลินตัน แห่งพรรคเดโมแครต เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เธอยืนยันยุทธศาสตร์รัฐบาลสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับการควบคุมแหล่งปิโตรเลียมและน้ำมันทั่วโลก อาศัยทั้ง Soft Power และ Hard Power นั้น ชาวโลกจึงเห็นความขัดแย้งเหนือบ่อน้ำมันบ่อก๊าซแถวทะเลจีนตอนใต้ สหรัฐ VS จีน, สงครามอิรัก–สหรัฐยึดบ่อน้ำมัน, สงครามไล่ล่าทรัพยากรปิโตรเลียมที่ซีเรีย, การพิพาทขัดแย้งสหรัฐ–อิหร่านต่อเนื่อง การไล่ล่าน้ำมันปิโตรเลียมลามมาถึงอินโดจีน เวียดนาม และไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีบ่อก๊าซธรรมชาติอันอุดม คุณภาพดีในอ่าวไทยคือ แหล่งสำคัญ ได้แก่ แหล่งเอราวัณ และแหล่งบงกช

สำหรับประเทศไทยนั้น ขุนศึกไทยได้รับอิทธิพล Hard Power” สูงตั้งแต่ยุคสงครามเย็นยุทธวิธีการรบแบบอเมริกัน แม้วันนี้หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 “ระบอบทหารใหญ่” อาจมีใจให้จีนบ้างแต่ก็ยังถูกครอบงำด้วยวิธีคิดแบบทหารอเมริกันไม่น้อย 

การยึดครองปิโตรเลียมไทยจนถึงบ่อน้ำมันบ่อก๊าซของประเทศไทยให้ TNCs ผูกขาดน้ำมันปิโตรเลียมนั้น อาศัย Soft Power” ด้านกฎหมาย และยุทธศาสตร์ยุทธวิธีด้านเศรษฐกิจโดยฉันทานุมัติวอชิงตัน แปลงสินทรัพย์ ความเป็นเจ้าของสินทรัพย์น้ำมันปิโตรเลียมของรัฐได้ กลายเป็นของธุรกิจเอกชนผูกขาดน้ำมัน โดยการแปลงสภาพขายสินทรัพย์น้ำมันชาติ ขายในราคาถูกมากให้ TNCs ผูกขาดน้ำมันเป็นเจ้าของสัมปทาน เนื้อหาอาจเข้าข่ายทำนองขายสมบัติชาติ หรือ ขายชาติ หรือไม่

การฮุบน้ำมันสู่มือทุนผูกขาด TNCs ทำได้ 2 ระลอก ด้วยการผ่าน กฎหมาย ระลอกแรก พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และระลอก 2 พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542

            กล่าวคือ ฝรั่งรุกหนักระลอกแรก ส่วน ระลอกสองเป็นต้นมา ทางเทคโนแครตหรือนักบริหารนักวิชาการขุนนางไทย อาจเรียกว่า “คนไทยหัวใจฝรั่ง” ทำแทนตามอุดมการณ์ฝรั่ง เพื่อให้ TNCs ผูกขาดน้ำมันเรื่อยมา   นักวิชาการขุนนางมักคิดเชิงเทคนิค (Technocrat) เพื่อ TNCs จะได้ผูกขาด ทำกำไรเชิงพาณิชย์สูงสุดผลประโยชน์ตกบริษัทตนมากกว่าประเทศชาติที่ตนสังกัด ภายใต้การบริหารจัดการน้ำมันทรัพยากรปิโตรเลียมแบบ “รัฐราชการ–นายทุนผูกขาดน้ำมัน–ขุนศึก” ในระบบเศรษฐกิจไทย แบบ ทุนนิยมผูกขาดอภิสิทธิ์ชนกินรวบสินทรัพย์ เกิดกำไรมหาศาลจากการผูกขาดน้ำมันยาวนานจนถึงปัจจุบัน

นักเศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศนิยาม “บรรษัทข้ามชาติ (Trans–National Corporations หรือ TNCs)” คือ บริษัทเอกชนรายใหญ่ผูกขาดข้ามชาติ ทำตัวเสมือนไร้สัญชาติสังกัด   โดยเป้าหมายหลักที่สำคัญของ TNCs คือ การทำกำไรเชิงพาณิชย์สูงสุด (Profit Maximization) ไม่ใช่ผลประโยชน์ของชาติตน เป้าหมายทำกำไรสูงสุดเพื่อผลประโยชน์สูงสุดให้บริษัทตัวเอง TNCs และผู้ถือหุ้นเป็นหลักสำคัญ คือ หัวใจของภารกิจของ TNCs ดังนั้น การที่ TNCs น้ำมันผูกขาดบางบริษัท อวดอ้างว่าบริษัทตนดำเนินการเพื่อความมั่นคงน้ำมันของประเทศชาติของตนนั้น  เป็นแค่การสร้างมายาภาพลวงตาวาทกรรมลวงโลกเท่านั้นเอง     TNCs น้ำมันผูกขาดรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปผงาดมีอำนาจเหนือตลาด เหนือผู้บริโภค เหนือรัฐตลอดมาในยุคไล่ล่าทรัพยากรโดยจักรวรรดินิยมอเมริกา และประเทศทุนนิยมตะวันตก

กฎหมายปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ที่มักถูกเรียกว่า “ฉบับฝรั่งร่างฝรั่งรวย” นั้น นับเป็นกฎหมายฉบับแรกซึ่งเป็นฉบับแม่บท ในเวลาต่อมามีการแก้ไขรวมเป็น 7 ฉบับ (โปรดดูฉบับแม่บท 2514, แก้ไขฉบับที่สอง 2516,  ฉบับที่สาม 2522, ฉบับที่สี่ 2532, ฉบับที่ห้า 2534,  ฉบับที่หก 2550 และฉบับที่เจ็ด 2560) แต่เป็นการแก้ไขเชิงเทคนิคเพียงเล็กน้อยในลักษณะปะผุรถยนต์ ไม่เคยมีการแก้ไขประเด็นสำคัญหลักใหญ่ เรื่องความเป็นเจ้าของทรัพยากรน้ำมันและปิโตรเลียม ซึ่งเป็นของบริษัทน้ำมันเอกชนรายใหญ่ ในระบบสัมปทานหรือคล้ายสัมปทานน้ำมันตลอดมาในช่วง 50 ปีถึงปัจจุบัน (2514–2564) การแก้ไขกฎหมายน้ำมันแค่บางประเด็นปลีกย่อย ทำให้ระบบการจัดการน้ำมันยังคงไว้ซึ่งประโยชน์มหาศาลแก่บรรษัทข้ามชาติน้ำมัน (TNCs) เรื่อยมา ในปี 2542 รัฐบาลไทยถูกบีบให้มีการรับเงินกู้ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ด้วยการออกกฎหมายแปลงสินทรัพย์ของรัฐเป็นของเอกชน โอนสินทรัพย์น้ำมันและพลังงานเป็นของ TNCs ผูกขาดน้ำมัน โดยนำหุ้นเข้าขายในตลาดหุ้น แปลงสภาพสินทรัพย์น้ำมันและปิโตรเลียมของรัฐของประชาชน กลายเป็นของธุรกิจเอกชนเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดังกล่าว โดยสรุป ทรัพยากรน้ำมันและปิโตรเลียมไทยถูกรุกไล่ปล้นสองระลอก ระลอกแรกปี 2514 และระลอก 2 ปี 2542

น้ำมันมีราคาแพง นั้น ต้องแก้ไขตรง ต้นเหตุที่กฎหมายและการผูกขาดน้ำมันและพลังงาน รัฐไทยทั้งในยุครัฐบาลทหารมาจากการรัฐประหาร และในยุครัฐบาลพลเรือนมาจากการเลือกตั้งละเลยไม่แก้ไขตรงต้นเหตุเรื่อยมาสองยุค ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะทั้งสองยุคต่างมีผลประโยชน์ร่วมหรือไม่ จึงไม่กล้าแตะต้อง TNCs บรรษัทข้ามชาติน้ำมันและพลังงาน

เมื่อพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง สับเปลี่ยนได้เป็นรัฐบาลต่อๆ กันมาถึง 3 พรรค เห็นดีเห็นงามกับการสมาทานความคิดฝรั่งเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) ในกรอบฉันทานุมัติวอชิงตัน (Washington Concensus) จึงทำให้เกิดการแปลงสภาพความเป็นเจ้าของน้ำมันและทรัพยากรปิโตรเลียมของรัฐ โอนสู่ความเป็นเจ้าของในมือบริษัทรายใหญ่กึ่งเอกชนผูกขาดน้ำมัน คือ TNCs ดังนี้

ปี 2540 ยุควิกฤตเศรษฐกิจไทยที่มักคุ้นในชื่อ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” นั้น รัฐบาลพรรคความหวังใหม่รับเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขข้อจำกัดรัฐไทยต้องปฏิบัติ

            ปี 2542 รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกกฎหมาย “พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ” มุ่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แปลงสภาพสินทรัพย์ที่รัฐเป็นเจ้าของรวมถึงน้ำมันปิโตรเลียม ยกความเป็นเจ้าของให้เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเอกชน

ก่อน 1 ตุลาคม 2544 ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทยประกาศหากตนได้เป็นรัฐบาล จะยกเลิกกฎหมายไอเอ็มเอฟทั้งหมด ที่คนไทยเรียกว่า “กฎหมายขายชาติ” แต่ทว่าเมื่อพรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล กลับไม่ได้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวตามที่หาเสียงเอาไว้ ซ้ำร้าย วันที่ 1 ตุลาคม 2544 รัฐบาลพรรคไทยรักไทยกลับทำการแปลงสภาพบริษัทน้ำมันใหญ่ของชาติของประชาชนไทยให้กลายเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) รับโอนอำนาจสิทธิและพนักงานทั้งหมดตาม พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542

ในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย จึงเกิดปรากฏการณ์ “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แกรนด์เซล” ขายของสินทรัพย์ราคาถูกให้ต่างชาติและเศรษฐีคนไทย นั่นคือ การซื้อ-ขายหุ้นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของชาติไทยในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2544 เกิดปรากฏการณ์อันน่าพิศวงเป็นที่เล่าลือตราบจนทุกวันนี้ที่รัฐบาลสามารถขายหุ้นหมดเกลี้ยงภายในเวลา 77 วินาที หรือ 1 นาที 7 วินาที เท่านั้น ขาย ณ ราคา ไอพีโอ 35 บาท ว่ากันว่าเป็นราคาประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง ลัทธิอุปถัมภ์ทำให้บรรดาวงศาคณาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของนักการเมืองและเครือข่ายอำนาจน้ำมันได้หุ้นกันเพียบเป็นจำนวนมาก

บริษัทน้ำมันใหญ่เริ่มวันแรกเข้าตลาดหุ้น (6 ธันวาคม 2544) ราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 13.95 บาทต่อลิตร  ต่อมาหลังเข้าตลาดหุ้นเพียงแค่ 8 เดือนเศษเท่านั้น ราคาน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มเป็น 43.19 บาทต่อลิตร ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2551 ซึ่งราคาน้ำมัน เบนซิน 95 เพิ่มขึ้นมากกว่า 300% ในช่วง 8 เดือนดังกล่าวหลังนำบริษัทน้ำมันรายใหญ่เข้าขายหุ้นในตลาดหุ้นในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ

นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน อดีตรองประธานธนาคารโลก ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์อย่าง ศาสตราจารย์ ดร.โจเซฟ สติกลิทซ์ แห่งมหาวิทยาลัยโคลอมเบีย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศในโลกแปรรูปรัฐวิสาหกิจน้ำมันและพลังงาน นำเข้าตลาดหุ้นแปรสภาพความเป็นเจ้าของยกกรรมสิทธิ์ให้เป็นของเอกชนอย่างง่ายดายในนโยบายแปลงสินทรัพย์รัฐเป็นทุนเอกชน สติกลิทซ์ถึงกับวิจารณ์แรงๆ ว่า Privatization is Briberalization” หมายถึง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจน้ำมันและพลังงานเป็นกระบวนการติดสินบน สติกลิทซ์ชี้ว่าเป็นการนำสมบัติชาติและประชาชนไปขายให้ธุรกิจเอกชนในราคาที่ต่ำกว่าราคาในตลาด ทำกำไรก้อนโตเข้ากระเป๋านายทุนน้ำมันพลังงานบางกลุ่ม และกลุ่มอํานาจนิยม ขณะที่คนส่วนใหญ่ ผู้บริโภค และผู้ประกอบการ กลับต้องทนทุกข์จากราคาน้ำมันและพลังงานสูงเกินจริงจากธุรกิจน้ำมันผูกขาด

ในเวลาต่อมาเมื่อ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ทำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 โดย ระบอบทหารใหญ่ อ้างว่าจะขจัดคอร์รัปชัน และแก้ไขปรับเปลี่ยนปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ก่อนการเลือกตั้ง รวมทั้งปฏิรูปพลังงาน ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ที่รัฐบาลพูดไว้เสียดิบดีนั้น   ประชาชนได้แต่รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ พบแต่การปฏิรูปบนความว่างเปล่า คือไม่กล้าปฏิรูปอะไรเลย แรกๆ เข้ามาแทนที่จะปฏิรูปพลังงานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจปากท้องชีวิตของประชาชนไทยทั้งปวงเสียตั้งแต่ต้นก็ไม่ทำ   รัฐบาลทหาร คสช. กลับสร้างนวัตกรรมกฎหมายฉบับพิลึกพิลั่น คือ “กฎหมายปิโตรเลียม 2560” ที่ประชาชนมักเรียกว่า “กฎหมายปิโตรเลียม ฉบับปะผุ” ขึ้นมาใช้ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหา เพราะยังคงดำรงอยู่ของระบบคล้ายสัมปทานที่รัฐและประชาชนเสียเปรียบต่อไป ด้วยอำนาจอาจดูประหนึ่ง รัฐซ้อนรัฐ หรือไม่ ทั้งๆ ที่ธุรกิจน้ำมันส่วนใหญ่มาจากภาษีประชาชนไทย บริษัทน้ำมันควรดูแลทำให้เกิดน้ำมันพลังงานที่เป็นธรรมอันเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติมิใช่หรือ

กระบวนการทำให้เกิด “กฎหมายปิโตรเลียม 2560” ของรัฐบาลทหาร คสช. ที่นำมาใช้ในปัจจุบันนี้ เป็นการนำเอากฎหมายปิโตรเลียมฉบับเก่ามาแก้ไขเพียงเล็กน้อยเชิงเทคนิค  ไม่ได้แก้ไขในประเด็นหัวใจสำคัญ ทำให้ประชาชนและประเทศชาติเสียเปรียบบรรษัทข้ามชาติน้ำมันผูกขาดใหญ่ TNCs    กลุ่มทุนพลังงานรีบเร่งรวบรัดหวังยึดครองบ่อก๊าซใหญ่คุณภาพดีแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช จึงเร่งจัดทำร่างกฎหมายพลังงาน 2560 ของฝ่ายรัฐปิดกั้นกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างชัดเจน  

เมื่อประชาชนไม่เห็นด้วยโดยพิจารณาเห็นว่าร่างกฎหมายปิโตรเลียม 2560 ของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ที่มีเพียงไม่กี่มาตราไม่อาจแก้ปัญหาเก่าๆ ในเรื่องพลังงานทุนผูกขาดไม่เกิดการแข่งขันตามกลไกตลาด ราคาน้ำมันแพงนี้เป็นเพราะบิดเบือน บิดเบี้ยว ผิดเพี้ยนจากตลาดแข่งขัน ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน สร้างความเดือดร้อนต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการของไทย การบริหารจัดการที่กีดกันปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรปิโตรเลียมและพลังงานในนโยบายสาธารณะพลังงานที่ต้องมีการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างกระจายตัว โดยการจัดการต้องมีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้วยเหตุนี้ภาคประชาชนนำโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) จึงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องทำหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. ควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร่วม 100 ฉบับ เพื่อท้วงติงเสนอแนะการปฏิรูปโครงสร้างราคาน้ำมัน และขจัดการผูกขาดพลังงานปิโตรเลียม รัฐบาลมอบให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงานมาร่วมประชุมหาทางออกกับตัวแทนภาคประชาชน คปพ. นานถึง 2 ชั่วโมง  42 นาที ฝ่ายประชาชนเสนอให้ตั้ง คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมาย โดยขอให้มีตัวแทนภาคประชาชนเข้าร่วมบ้าง มิใช่มีตัวแทนหน่วยงานพลังงานของรัฐเต็มไปหมด รองนายกรัฐมนตรีรับปากจะไปเสนอนายกรัฐมนตรี จะให้คำตอบภายใน 2 สัปดาห์ ตราบจนกระทั่งปัจจุบันก็ไม่เคยมีคำตอบใดๆ จากหัวหน้ารัฐบาลให้กับฝ่ายประชาชนแต่ประการใด

แม้หัวหน้า คสช. ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะเงียบเฉยไม่แยแสใส่ใจต่อคำขอของภาคประชาชน ภาคประชาชนไม่ละความพยายาม ประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ มาร่วมด้วยช่วยกันร่างกฎหมาย “ร่างพระราชบัญญัติประกอบกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. ....” โดยมีคนไทยร่วมลงชื่อกว่า 20,000 รายชื่อครบทุกจังหวัด 77 จังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีคนไทยในต่างประเทศอีกหลายประเทศร่วมลงชื่อ เสนอต่อ สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ซึ่งล้วนแต่งตั้งโดย คสช. แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณาใดๆ เลย ภาคประชาชนเสนอให้จัดตั้ง “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Corporation) เพื่อบริหารจัดการน้ำมันและปิโตรเลียมทั้งหมด อีกทั้งท้วงติงคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมของรัฐว่าไม่ได้แก้ไขประเด็นสำคัญที่รัฐเสียเปรียบต่อเอกชนผูกขาดน้ำมันพลังงานปิโตรเลียมในระบบคล้ายสัมปทาน ทำให้ประเทศไทยขาดอธิปไตยน้ำมันพลังงานปิโตรเลียมต่อเนื่องต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ในที่สุด สนช. ผ่านกฎหมายปิโตรเลียม 2560 อย่างรีบเร่ง รวบรัด ไม่เห็นหัวประชาชน

ยุคเผด็จการทหารครองเมืองในนาม คสช. กีดกันปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในนโยบายสาธารณะ ไม่ให้เกิด “อธิปไตยน้ำมันพลังงาน” รัฐฟ้องร้องการเคลื่อนไหวประชาชนด้วยกฎหมายปิดปาก (SLAPPS/Strategic Lawsuit Against People Participation) รัฐดำเนินคดีกับประชาชนจากการที่ประชาชนไปยื่นร่างกฎหมายน้ำมันปิโตรเลียมฉบับประชาชน ต่อ สนช.-สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พร้อมคัดค้านการออกกฎหมายปิโตรเลียม พ.ศ.2560 ฉบับปะผุ แต่รัฐเพิกเฉยไม่ฟังเสียงประชาชน ทั้งที่ประชาชนเคลื่อนไหวโดยสันติวิธี เพื่อให้เกิด “อธิปไตยน้ำมันพลังงาน” อย่างแท้จริง    ประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่คัดค้านร่างกฎหมายของรัฐตลอดจนสมาชิกกลุ่ม คปพ. นับสิบกว่ารายที่ถูกหน่วยงานและบุคลากรของรัฐฟ้องร้องดำเนินคดี ต่างทยอยได้รับชัยชนะ และได้รับการยกฟ้องในที่สุด อันที่จริงนโยบายพลังงานชาติเป็นนโยบายสาธารณะที่มีผลต่อชีวิตของประชาชนทุกคนในประเทศไทย  ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะทักท้วง มีข้อเสนอแนะต่อรัฐได้มิใช่หรือ แม้สังคมไทยจะพูดถึงปัญหาพลังงานน้อยไปบ้าง แต่ก็น่าชื่นชมสถาบันการศึกษาบางแห่ง สื่อมวลชนบางสำนักมิได้เพิกเฉยปิดปากเงียบ หากแต่ช่วยนำเสนอข่าวสาร เป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาพลังงานและราคาน้ำมันเพื่อให้เกิดแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นธรรมให้กับประชาชนโดยไม่หวาดกลัวจะกระทบต่อทุนการศึกษา เงินวิจัย เงินช่วยเหลือ งบโฆษณาสปอนเซอร์ ฯลฯ

อธิปไตยน้ำมันพลังงานของไทย จักต้องมีใน 3 เรื่อง (1) คนไทยทั้งมวลเป็นเจ้าของตัวจริงในทรัพยากรน้ำมันพลังงาน  (2) ประชาชนไทยมีอำนาจสูงสุดในการจัดการผลประโยชน์จากน้ำมันพลังงาน และ (3) รัฐไทยเป็นแค่เพียงตัวแทนประชาชน เป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจจากประชาชน ให้ทำหน้าที่ในเจตจำนงเพื่อผลประโยชน์ชาติและประชาชนไทยสูงสุด แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ รัฐไทย ทุกยุค ตั้งแต่ปี 2514-2564 ไม่ได้ทำหน้าที่ รักษาอธิปไตยน้ำมันพลังงานปิโตรเลียมไทย อันเป็นสมบัติของชาติและของประชาชนไทยทั้งปวง ราคาน้ำมันจึงแพงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ

โดยสรุป รัฐบาลล้มเหลว ในนโยบายน้ำมันพลังงาน 3 ด้านด้วยกัน (1) ด้านกฎหมาย (2) ด้านการผูกขาดน้ำมันพลังงาน และ (3) ด้านการบริหารจัดการทำลายอธิปไตยน้ำมันพลังงาน เป็นที่น่าสังเกตว่ากรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ จ่ายให้บุคลากรบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ตามที่ถูกกล่าวหาโดยองค์กรใหญ่ทางการของอังกฤษนั้น การตรวจสอบโดยทางการไทยผ่านมา 5 ปีแล้ว (2560–2564) ยังไม่มีข้อสรุปเลยถือว่าล่าช้ามาก   

ประเทศไทยวันนี้ กลุ่มอำนาจนิยมน้ำมันพลังงาน TNCs ควบคุมเศรษฐกิจประเทศไทยผ่าน “รัฐราชการ–นายทุน–ขุนศึก” หมายถึง “รัฐราชการคุมกฎหมายน้ำมันพลังงาน–ทุนผูกขาดน้ำมันพลังงานคุมเงินตรากำไรมหาศาล–ขุนศึกคุมปืนทำหน้าที่คล้าย รปภ. คุ้มครองผลประโยชน์ของกลุ่มทุนผูกขาดอำนาจน้ำมันพลังงาน TNCs” ในระบบเศรษฐกิจไทยแบบ “ทุนนิยมผูกขาดอภิสิทธิ์ชนกินรวบสินทรัพย์” ที่ครอบงำสังคมไทย

รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นับเป็นรัฐประหารครั้งที่ล้มเหลวมากที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐประหารของประเทศไทย โดยเฉพาะทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ทำการเมืองไทยถอยหลังเข้าคลองเป็นเผด็จการอำนาจนิยม สิ่งที่ล้มเหลวด้านเศรษฐกิจประเทศมากที่สุด คือ การไม่ปฏิรูปราคาน้ำมันและพลังงานเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับประชาชนไทย ไม่ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำมันผูกขาด ปล่อยให้มีการบิดเบือนราคาน้ำมัน ปล่อยให้ TNCs โกยกำไรผูกขาดน้ำมันมหาศาลต่อไป ตลอดระยะเวลาสู่ปีที่ 8 แห่งอำนาจแล้ว  นายกรัฐมนตรีโดยวิชาชีพทหารเชี่ยวชาญ ทางการรบการทำสงคราม แต่ไม่มีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจประเทศที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนซ่อนปมในโลกยุคดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายได้ จึงไม่เข้าใจและตระหนักว่าระบบผูกขาดน้ำมันและพลังงาน คือตัวการป่วนทำลายระบบเศรษฐกิจไทยให้อ่อนแอถึงฐานรากเลยทีเดียว น้ำมันแพงเป็นภัยคุกคามสร้างความอ่อนแอต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแฝงลึกในผลประโยชน์ทับซ้อนและซ้อนทันของกลุ่มอำนาจน้ำมัน TNCs มาเป็นระยะ ดังเกิดขึ้นชัดเจนเป็นที่ประจักษ์น้ำมันแพงในวันนี้ น้ำมันแพงอาจถึงกับทำให้รัฐบาลล้มได้ ถ้าไม่รีบแก้ไขให้ตรงจุด

การไม่ปฏิรูปให้เกิดประชาธิปไตยทางการเมืองและทางเศรษฐกิจอย่างที่ผู้นำรัฐบาลได้ประกาศเอาไว้ ทำให้การรัฐประหารเสียของอย่างไม่เป็นท่า

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้า คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ปัจจุบันเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องการบริหารจัดการพลังงานและน้ำมันแห่งชาติ ผูกขาดราคาแพงในวิกฤตการณ์พลังงานปัจจุบันได้

ล่าสุดข้อเรียกร้องของสหพันธ์การขนส่งแห่งประเทศไทยที่เสนอต่อรัฐบาลให้ พิจารณาลดราคาน้ำมันดีเซลที่ 25 บาทต่อลิตร เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย จะดีกับภาคผู้ประกอบการ ลดต้นทุนการผลิต ภาคผู้บริโภคและเศรษฐกิจไทยโดยรวม ไม่เผชิญกับปัญหาหนักหน่วงด้านของแพง “เงินเฟ้อ” ช่วยให้เศรษฐกิจมีความสามารถในการแข่งขันในภาคการส่งออก พอช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยในภาวะรุมเร้าหลายด้านในปัจจุบันนั้น

ทาง กลุ่มอำนาจน้ำมัน TNCs และรัฐ ยืนกรานตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยจะกู้เงินเพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท (ซึ่งจะเป็นภาระหนี้ของประชาชนเพิ่มขึ้นอีกมากซึ่งหนักอยู่แล้ว) มาตรึงดีเซล 30 บาทต่อลิตร ท่ามกลางเงินกองทุนน้ำมันเหลือน้อยมากแค่ 7,144 ล้านบาท (ณ 31 ต.ค.64) รัฐไม่ยอมลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันอ้างจะกระทบต่อฐานะการคลัง ทั้งที่เป็นผลมาจากรัฐผิดพลาดใช้นโยบายแจกเงินประชานิยมและลงทุนโครงการขนาดใหญ่จนกระทบต่อการคลังก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ

รัฐดูเหมือนไม่แยแสกับประชาชนเรื่องวิกฤตน้ำมันราคาแพง มัวแต่สาละวนอยู่กับพรรคการเมืองที่รองรับอำนาจของตนไม่ให้กระฉอกไปมา นายทหารใหญ่พูดแบบไม่เคอะเขินจะขออยู่ต่อในอำนาจเมื่อครบ 8 ปี ในปี 2565 ไปอีก 5 ปี รวมเป็นทั้งหมดแห่งอำนาจ 13 ปี (2557–2571) ประชาชนได้แต่อ้าปากค้าง

อนึ่ง ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก WTI Spot ดอลลาร์สหรัฐ (ณ วันที่ 2 พ.ย.64) อยู่ที่ 83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล   ซึ่งประธานาธิบดีรัสเซีย นายวลาดีมีร์ ปูติน ระบุราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะทะยานสูงขึ้นไปถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในเร็ววัน

ระวัง “STAGFLATION” น้ำมันแพงระอุเดือดเพราะผูกขาด อาจทำรัฐบาลล้มลงได้

ปัญหาราคาน้ำมันแพงในไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างต้องแก้ไขหลายมิติพร้อมกันไป ไม่ใช่แก้แค่ปัญหาเชิงเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ  แค่บางเรื่องที่รัฐบาลทำอยู่ขณะนี้ ไม่อาจทำลายผูกขาดน้ำมัน ที่วนอยู่ในอ่าง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำมันแพงได้อย่างถาวรแท้จริง ถามว่ารัฐบาลแก้เชิงเทคนิคเพื่อไม่ให้กระทบต่ออำนาจการผูกขาดของ TNCs น้ำมันรายใหญ่หรือไม่ (โปรดดูแผนภูมิ โมเดลผูกขาดน้ำมันพลังงานไทยโกยกำไร)

ล่าสุดประชาชาติธุรกิจ (5 พ.ย.64) รายงานสภาองค์กรผู้บริโภค อัดรัฐ “บริหารผิด” จี้ปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ตามข้อมูลจากบางจาก ราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 29.54 บาท (6 พ.ย.64).

วิวัฒน์ชัย  อัตถากร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เมื่อคน.. สังคม! .. ไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์.. ประเทศชาติหายนะ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา.. คำว่า “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกินลึกลงไปมากกว่าความเชื่อโดยทั่วไป ด้วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของคุณสมบัติสิ่งนั้นๆ

สมดังเป็น .. “วีรกษัตรี มหาราชินี...” ของชาวไทย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

“โมหมูลจิต” .. ..มูลเหตุของการถูกหลอกลวง โดย Scammer!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในกระแสสังคมยุคไอที ที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีชั้นสูง จนเข้าสู่ ยุควัตถุ AI ในปัจจุบัน ที่แสดงความเสมือนจริงให้สัมผัสได้ใกล้เคียงอย่างน่าศึกษายิ่ง

โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”

เจริญพรสาธุชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า.. นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นมา พสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมเพรียง.. ร่วมไว้อาลัยแด่การเสด็จสู่สวรรคาลัย ใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”