
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนมีข่าวว่าบริษัทเอกชนจีน (ชื่อว่า DeepSeek) สามารถพัฒนา AI ที่เก่งทัดเทียมกับเอกชนของสหรัฐ (ChatGPT ของ OpenAI) ด้วยต้นทุนเพียงไม่ล้านดอลลาร์ซึ่งถูกกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าเมื่อเทียบกับฝั่งสหรัฐอเมริกา จนเป็นกระแสไวรัสไปทั่วโลก
กลับมาที่ฝั่งประเทศไทย (หรือแม้แต่ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก) เริ่มมีคำถามว่าเราควรปรับตัว หรือ มองฉากทัศน์เรื่อง AI ใหม่หรือไม่ เพราะจากเดิม ที่การพัฒนา AI เป็นสิ่งที่มีราคาแพง และ ดูจะต้องมีความรู้ และมีความสามารถชนิดไกลเกินเอื้อม
ในฝั่งสหรัฐอเมริกาเอง หลังจากมีข่าว DeepSeek หุ้นเทคโนโลยีหลายตัว เช่น NVIDIA ก็มีราคาติดลบไปสูงสุด 24% ภายใน 2 วัน
แต่เชื่อไหมว่า จริง ๆ แล้ว DeepSeek ของจีน ส่งผลเชิงบวกต่อ อุตสาหกรรม AI ของสหรัฐ ?
แม้ DeepSeek สามารถทำราคาต่ำมาก เนื่องจากพยายามคิดค้นวิธีสร้าง AI มาในราคาต่ำ แต่ทำงานเร็ว และ ฉลาดพอ ๆ กับเบอร์ 1 อย่างสหรัฐอเมริกาได้ มองผิวเผิน เหมือนเป็นภัยคุกคามต่อบริษัทอเมริกันทั้งหลาย
แต่ความจริงแล้ว “ไม่ใช่เลย” เนื่องจาก
- ตอนนี้ อเมริกันรู้แล้วว่ามีวิธีทำงานในต้นทุนที่ต่ำ และเรียนรู้จากจีน เท่ากับมีคนช่วยคิดเทคนิควิธีการให้ว่าทำยังไงให้ใช้ทุนต่ำลง ก็แปลต่อได้ว่าอัตราส่วนการทำกำไรของบริษัทอเมริกัน จะสูงขึ้นกว่าเดิมจากที่คำนวณไว้ตอนแรกที่ระดมทุน
- เมื่อบริการ AI ราคาถูกลง ก็เกิดการใช้งานมากขึ้นและเข้าถึงได้ง่าย ลูกค้าต่าง ๆ ก็ไม่คิดเยอะที่จะซื้อและนำมาใช้ เหมือนอย่างตอนโทรศัพท์มือถือ ออกใหม่ ๆ ราคาเครื่องละ 3-5 แสนบาท ตอนนี้ (20 ปีผ่านไป) เหลือ 3 หมื่นบาท เท่ากับราคาถูกลงหลายสิบเท่า แต่ตลาดมือถือกลับเติบโตสร้างกำไรมหาศาลให้ Android กับ Apple เมื่อเทียบกับ Nokia, Ericson, Hutchison etc. และบริษัทรุ่นแรกอื่น ๆ ที่เป็นผู้ผลิตรุ่นแรก
- ผู้ประกอบการกลางน้ำ ที่เป็นนักพัฒนาระบบ พัฒนาแอ๊พพลิเคชั่น ก็จะเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น ราคาถูกลง เท่ากับดึงดูดคนมาช่วยสร้างและช่วยกันขาย ทำให้ระบบนิเวศน์มันสมดุลและยั่งยืน เพราะมีองค์ประกอบครบ ไม่เกิดคอขวด
สำหรับเรื่องการลงทุนขนาดใหญ่ ในโครงการ Stargate ที่สหรัฐเพิ่งประกาศไปเมื่อเดือนก่อน มูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านเหรียญ ลงทุนในระยะเวลา 4 ปี (ปีแรก 1 แสนล้านเหรียญ) อาจดูเหมือนเป็นการลงเงินเกินความจำเป็นเพราะจีนลบภาพความแพงของการลงทุน AI ไปแล้ว แต่อยากให้มองกันใหม่ว่า ด้วยเงินลงทุนนี้ สหรัฐสามารถจะขยายการบริการและสร้างผลกระทบในวงกว้างขึ้นอีกมหาศาล
ผมเห็นว่า อเมริกันกลับจะได้ประโยชน์ เพราะเงินลงทุนมหาศาลขนาดนี้ เท่ากับเป็นคนผูดขาดตลาดได้เลย เงินก็เตรียมไว้พร้อมลงทุนก่อนคนอื่นและจะได้เก็บเกี่ยวก่อน
ตอนนี้ ต้องคิดใหม่ว่าทำยังไงให้มีแรงงานทักษะและผู้พัฒนา AI มาป้อนให้ทันต่อความต้องการ ที่จะเพิ่มมหาศาลจากค่าบริการและต้นทุนที่ลดลง เงิน 5 แสนล้าน ควรจะผันมาสนับสนุนเรื่องพัฒนาแรงงานทักษะและผู้พัฒนา บางส่วนด้วยครับ หรือ ด้วยการกระตุ้นเชิงรุก เช่น ให้ทุนไปตั้งบริษัท Startup ด้วย จากเดิมที่กะว่าจะลงทุนแค่โครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียว
แล้วไทยควรทำอย่างไร ? ในเชิงยุทธศาสตร์ และ วางกลไก)
ต้องวางแผนยุทธศาตร์ AI ใหม่ และจัดการทุนวิจัยเสียใหม่ ครับ
- ต้องเร่งสร้างและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ให้พร้อมรับกับคลื่นของความต้องการ และ มีองค์ความรู้เพียงพอ ทำงานได้ ทำงานดี ทำงานเป็น ไม่ใช่พัฒนาแต่ความรู้ทางเทคนิคอย่างเดียว
- เร่งเขียนและจัดทำสื่อ คู่มือ คำแนะนำ สำหรับการนำ AI มาใช้เพื่อปฏิรูปงานของภาครัฐและเอกชน เพื่อเป็นคัมภีร์แนะแนวปฏิบัติ (Best Practice) ลดเวลาลองผิดลองถูก
- ทำ AI Market Place ต่อยอดจากแพลตฟอร์มรวบรวมผู้ขายที่ทำกันมาเยอะและค่อนข้างนิ่งแล้ว เช่น ของ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ที่ทำบัญชีบริการดิจิทั (https://techhunt.depa.or.th/) และ สำนักงานพัฒนารัฐบาบลดิจิทัล (สพร. (DGA)) ที่ทำเว็บรวบรวมผู้ประกอบการระบบดิจิทัลสำหรับท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีการรวบรวมรายชื่อและผลงานของผู้ประกอบการไว้ เพื่อให้ผู้ซื้อเข้ามาเลือกซื้อเลือกใช้งานได้สะดวก
- งานตรวจประเมิน (AI Audit) ต้องรีบตั้งทีมดึงผู้เชี่ยวชาญเข้ามากำหนดเกณฑ์ และวิธีการตรวจประเมิน ให้ชัดเจน ให้มีกระบวนการที่เหมาะสม และ ขยายการรองรับปริมาณงานได้ เช่น สร้างเครือข่ายผู้ตรวจ (auditors) ทั้งนี้เพื่อช่วยลูกค้า (ทั้งรัฐและเอกชน) ในการตรวจตรา และ รับรองให้อุ่นใจกับระบบสารสนเทศที่ผนวก AI เข้าไปร่วมทำงานด้วย และอย่าลืมพิจารณาถึงความปลอดภัยข้อมูลให้มากที่สุด
นโยบายสาธารณะด้าน AI Model ของไทย ด้วยทุนวิจัยไทย
AI Model คือ AI รูปแบบหนึ่งที่ประกอบด้วยชุดข้อมูลและโปรแกรมดิจิทัลที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากข้อมูลปริมาณมหาศาล
เข้าใจว่ากระทรวงดีอีเอส ให้ทุนวิจัยพัฒนา AI Model ประเภท Large Language Model (LLM) กับ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ไป โดยมอบหมาย BDI ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมดูแลการใช้เงินวิจัย และ แบ่งงานการทำวิจัย โดยที่ BDI จะมีการให้ทุนต่อกับบริษัทและมหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนา LLM ของไทย
เราน่าจะใช้โอกาสนี้ เชิญชวนนักวิจัยไทยมาทำงานร่วมกันนะครับ อย่างเช่นบทความวิจัยของ DeepSeek [1] เขียนโดยนักวิจัยกว่าร้อยคน และหลายคนก็ไม่ได้สังกัดบริษัท DeepSeek คือ เกิดจากการทำงานร่วมกันของคนเก่ง ๆ โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นของบริษัทนี้บริษัทนั้นเท่านั้น ซึ่งเชื่อมโยงมาว่าไทยเราน่าจะสามัคคีกัน และช่วยกันส่งเสริม พัฒนากันครับ
หากมีแนวทางนโยบายเชิญชวน นักวิจัยเป็นการทั่วไป เพื่อเข้าร่วมได้ โดยที่ต้องมีการบริหารจัดการด้วยเพื่อให้มีกลไกการขับเคลื่อนที่เป็นระบบ และมีพลัง คือ แบ่งงาน แบ่งหน้าที่กำหนดว่ามีงาน มีหน้าที่อะไรให้เลือกทำบ้าง แต่ละหน้าที่ส่งเสริมเชื่อมต่อกันอย่างไร พร้อมทั้งใช้โอกาสนี้ ในการพัฒนาคนด้าน AI ของประเทศ ในระดับนักพัฒนา (ทักษะ Finetune and Optimize) ไปด้วยเลย ยึดหลักเดินไปด้วยกันไปได้ไกล
อีกประเด็นคือ งานเทคนิค งานวิชาการ งานวิจัย ประเทศเรามักขาดการประชาสัมพันธ์ โดยกรณีงานโครงการวิจัยขนาดใหญ่ควรประชาสัมพันธ์ในลักษณะ สร้างความสามัคคี เชิญชวนคนมามีส่วนรวมโดยต้องกำหนดแผนดำเนินงานแกนกลาง เอามากางกัน โดยเฉพาะงานที่จะกระทบในวงกว้างแบบนี้
คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ
ดร มนต์ศักดิ์ โซ่เจริญธรรม
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ช่วงเวลาวิกฤตของแม่ลูกสอง ‘เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์’
หลังจากคลอดลูกชายคนที่สอง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ความโล่งใจของเธอเกิดขึ้นได้จากการใช้ยา
OpenAI เปิดตัวระบบควบคุมโดยผู้ปกครองสำหรับ ChatGPT
ประกาศของ OpenAI เผยแพร่ในบลอกของบริษัทเมื่อวันอังคาร ข้อความว่า “ภายในเดือนหน้าผู้ปกครองจะสามารถเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้ของตนกับบั
เตือนระวังสลิปปลอม!โจรใช้ ChatGPT ทำหลอก
เตือน ปชช. ระวังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ สร้างสลิปปลอมสมจริง แนะค้าขายเช็กยอดบัญชีเสมอ อย่าหลงกลมิจฉาชีพ

