
ประเทศสหรัฐฯ เริ่มไม่สามารถแบกรับภาระของความเป็นผู้นำทางการเงินและความมั่นคงของโลก และเทคโนโลยีกำลังสั่นคลอนระบบเดิม อาเซียนกำลังจับมือกันเพื่อสร้างทางรอดและความมั่นคงในอนาคตทางเศรษฐกิจ การเงิน และเทคโนโลยี
บริบทโลกใหม่: ดอลลาร์ไม่ใช่คำตอบเดียวอีกต่อไป
โลกในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่โลกของหลังสงครามโลกอีกต่อไป ภายหลังยุคสงครามเย็น บทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำระบบการเงินโลกภายใต้ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้รับความไว้วางใจจากนานาชาติ ทว่าหลังปี 2008 สหรัฐฯ กลับเริ่มใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างไม่ระมัดระวัง เช่น Quantitative Easing (QE) ซึ่งเทียบได้กับการ “พิมพ์เงิน” โดยไร้หลักประกันทางเศรษฐกิจ ทำให้ดอลลาร์เริ่มสูญเสียศรัทธาจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จำนวนมาก
ไม่เพียงเท่านั้น การถอนตัวจากข้อตกลงพหุภาคีหลายฉบับ การตั้งกำแพงภาษี การแทรกแซงเชิงการเมืองผ่านเครื่องมือทางการเงิน และหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงอย่างไม่มีแนวโน้มจะลดลง กลายเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจโลก
ณ ปลายปี 2024 หนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ แตะระดับกว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบเท่า 125% ของ GDP ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และนักเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยคาดว่า หากไม่มีการปรับโครงสร้างอย่างจริงจัง วิกฤตการเงินรอบใหม่อาจเริ่มจากฝั่งตะวันตก ไม่ใช่จากตลาดเกิดใหม่อย่างที่ผ่านมา
จาก “สงครามค่าเงิน” สู่ “การแข่งขันด้านโครงสร้างดิจิทัล”
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงสำคัญในระบบการเงินโลกคือ การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ โดยเฉพาะ สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ซึ่งเริ่มทดลองใช้อย่างจริงจังในจีน สวีเดน ไนจีเรีย และล่าสุดในสิงคโปร์และไทย นอกจาก CBDC แล้ว การพัฒนา ระบบโอนเงินข้ามพรมแดนแบบทันที (Real-Time Cross-Border Payment) ที่ใช้ต้นทุนต่ำและไม่ต้องแปลงผ่านสกุลดอลลาร์ กำลังกลายเป็นแนวโน้มใหม่ในโลกการเงินที่ท้าทายบทบาทของ SWIFT และดอลลาร์โดยตรง
ประเทศในกลุ่มอาเซียนซึ่งการค้าชายแดนจำนวนมาก และระบบการเชื่อมต่อที่ดี เช่น ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย จึงกำลังวางแผนเพื่อ “เชื่อมโครงข่าย” ด้านการเงินให้เป็นของตัวเอง โดยลดการพึ่งพาระบบตะวันตก
วิกฤตต้มยำกุ้ง: จุดเริ่มต้นของการตื่นรู้ด้านการเงิน
หากย้อนกลับไปในช่วงปี 1997 วิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ได้ทำให้ประเทศในอาเซียนตระหนักถึงความเปราะบางของระบบการเงินโลก และความจำเป็นในการมี “ภูมิคุ้มกันทางการเงิน” ของตัวเอง
จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ความพยายามของอาเซียน+3 (อาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ในการสร้างโครงสร้างทางการเงินภูมิภาคมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เช่น Chiang Mai Initiative Multilateralisation (CMIM) – กลไกความช่วยเหลือทางการเงินฉุกเฉิน วงเงิน 240,000 ล้านดอลลาร์ ASEAN+3 Macroeconomic Research Office (AMRO) – สถาบันวิจัยเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ Asia Bond Markets Initiative (ABMI) – โครงการพัฒนาตลาดตราสารหนี้เอเชีย โดยมี ADB เป็นผู้สนับสนุนหลัก
ความร่วมมือเหล่านี้แม้จะยังไม่ถึงขั้นเป็น “สหภาพการเงิน” แบบ EU แต่ก็ปูรากฐานให้เอเชียสามารถตอบสนองต่อวิกฤตในอนาคตได้ด้วยตนเอง
ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ปี 2014 กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่รวมตัวกันภายใต้ชื่อว่า BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) ขยับตัวรวดเร็วในการสร้าง “ระบบคู่ขนาน” ทางการเงิน เพื่อท้าทายการผูกขาดของดอลลาร์และสถาบันการเงินแบบตะวันตก
กลยุทธ์หลักของ BRICS: โครงสร้างสถาบันใหม่แทน IMF และ World Bank
ตั้งแต่ปี 2014-2015 เป็นต้นมา กลุ่ม BRICS ได้จัดตั้งและพัฒนาโครงสร้างสถาบันใหม่อย่างต่อเนื่อง ได้แก่: Contingent Reserve Arrangement (CRA) 2014 กลไกเงินทุนสำรองฉุกเฉิน ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับ CMIM หรือ IMF โดยเฉพาะในยามที่ประเทศสมาชิกเผชิญวิกฤตเงินทุนไหลออกหรือขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ New Development Bank (NDB) 2015 เป็นธนาคารพหุภาคีที่มีเป้าหมายคล้ายกับ World Bank โดยเน้นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศสมาชิก มีทุนจดทะเบียนกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ และขยายฐานสมาชิกไปยังประเทศอย่างอียิปต์ บังกลาเทศ และอุรุกวัย และ BRICS Payment System & Digital Currency มีการศึกษาพัฒนาเครือข่ายโอนเงินข้ามพรมแดนระหว่างกันโดยไม่ต้องผ่าน SWIFT หรือระบบของสหรัฐฯ โดยมีการพูดถึง “BRICS Digital Currency” ที่จะใช้ Blockchain เป็นโครงสร้างพื้นฐาน
กลุ่ม BRICS คือความพยายามอย่างจริงจังในการออกแบบ “ระบบการเงินโลกแบบใหม่” โดยไม่ต้องขึ้นตรงกับตะวันตก
– รายงานเศรษฐกิจระหว่างประเทศ, Russian Economic Forum 2023
จีน: ผู้นำแห่งยุคเงินดิจิทัล
ท่ามกลางกลุ่ม BRICS ประเทศจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการเงินแบบเต็มตัว ผ่านการริเริ่มพัฒนา:เช่น e-CNY (เงินหยวนดิจิทัล) ที่ทดลองใช้งานจริงในหลายเมือง และ โครงการ mBridge ความร่วมมือระหว่าง PBOC, ธนาคารกลางฮ่องกง, ไทย, UAE และ BIS เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มโอนเงินดิจิทัลระหว่างประเทศ ซึ่ง เพลตฟอร์ม mBridge เป็นเครื่องยืนยันว่าอนาคตของระบบการเงินข้ามชาติอาจไม่จำเป็นต้องใช้เงินดอลลาร์อีกต่อไป และสามารถเกิดขึ้นได้โดยอิงเทคโนโลยีกลางร่วม
การทับซ้อนและความเป็นไปได้ของ “สองขั้วเศรษฐกิจ”
เมื่อพิจารณาทั้ง BRICS และ ASEAN+3 จะเห็นได้ว่าทั้งสองกรอบมีวัตถุประสงค์ใกล้เคียงกัน ได้แก่: การลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ การส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศ และ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลร่วมกัน
แต่ที่ต่างกันคือจังหวะและผู้นำหลัก: BRICS มีจีนและรัสเซียเป็นแกนหลัก ขับเคลื่อนเร็ว แข็งแกร่ง ASEAN+3 อาจจะมีญี่ปุ่นเป็นแกน เน้นความเห็นพ้อง ใช้ความร่วมมือทางการทูตสูง และเคารพบทบาทสมาชิก
ไทย: ตัวกลางยุทธศาสตร์แห่งภูมิภาค
ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่อยู่ในจุดตัดของทั้งสองกลุ่ม เพราะเป็นสมาชิก ASEAN+3 อย่างเต็มตัว และมีความร่วมมือเชิงนโยบายกับจีนและอินเดียภายใต้กรอบ RCEP และโครงการ Belt & Road Initiative บทบาทที่ไทยสามารถพัฒนาได้ทันที:
1. Hub ของระบบโอนเงินข้ามพรมแดนในอาเซียน: ผ่านโครงการพร้อมเพย์ข้ามพรมแดน (เชื่อมต่อกับมาเลเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา)
2. ศูนย์กลางตลาดตราสารหนี้ภูมิภาค โดยส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติออกพันธบัตรบาท (Baht Bonds) ในไทย
3. เจ้าภาพการเจรจาระหว่าง ASEAN+3 และ BRICS เพื่อร่วมสร้างแพลตฟอร์มเทคโนโลยีการเงินกลาง เช่น cross-border CBDC หรือการกำหนดกรอบอัตราแลกเปลี่ยนภูมิภาค
เทคโนโลยีการเงินดิจิทัล: พลังใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค
ระบบการเงินใหม่ไม่ได้อยู่แค่ในมือรัฐบาลอีกต่อไป แต่รวมถึงภาคเอกชน เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มดิจิทัล การเข้าใจและปรับตัวจึงเป็นหัวใจของธุรกิจแห่งอนาคต
Fintech: ผู้เล่นใหม่ในสนามเงินโลก
เทคโนโลยีการเงิน หรือที่เรียกกันว่า Fintech (Financial Technology) ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์การเงินโลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น: ระบบโอนเงินทันที (PromptPay, DuitNow, UPI ฯลฯ) การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ปัญญาประดิษฐ์ในวิเคราะห์เครดิต และ แพลตฟอร์ม e-wallet และ super app (เช่น Alipay, GrabPay, Line Pay)
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Fintech ไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางธุรกรรมเท่านั้น แต่กลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ที่รองรับทั้งเศรษฐกิจดิจิทัล การท่องเที่ยว การค้า และการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ความร่วมมือการชำระเงินข้ามพรมแดนแบบทันที ระหว่างระบบพร้อมเพย์ของไทย กับ: DuitNow (มาเลเซีย) PayNow (สิงคโปร์) QR Khmer (กัมพูชา) และโครงการเชื่อมกับอินเดีย (UPI)
ภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี เครือข่ายการชำระเงินระดับประชาชนในอาเซียนจึงเริ่มเชื่อมโยงกันจริงจัง โดยไม่ต้องผ่านโครงสร้างดั้งเดิมของระบบธนาคารพาณิชย์ข้ามประเทศ
CBDC: เครื่องมือใหม่ในการควบคุมอธิปไตยทางการเงิน
CBDC (Central Bank Digital Currency) คือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงิน ลดต้นทุนของระบบธนาคาร ตรวจสอบและควบคุมเงินทุนได้แม่นยำยิ่งขึ้นและ ลดการพึ่งพาเงินตราต่างประเทศในการชำระระหว่างประเทศ เช่น e-CNY (จีน) ใช้งานแล้วในกว่า 26 เมือง มีมูลค่าธุรกรรมสะสมหลายแสนล้านหยวน mBridge (ไทย-จีน-ฮ่องกง-UAE-BIS) ทดลองโอนเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคารกลาง โดยใช้ CBDC ของแต่ละประเทศเป็นตัวกลาง Project Nexus (BIS x ธปท. x MAS) เพื่อเชื่อมระบบชำระเงินแบบ real-time ของประเทศในอาเซียนและพันธมิตร เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย ฯลฯ
มองอนาคต: โลกที่การเงินไม่ขึ้นกับสกุลเงินเดียว
ระบบการเงินในอีก 10 ปีข้างหน้าอาจไม่ได้มีดอลลาร์เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป แต่จะเป็นระบบ “หลายศูนย์กลาง” ที่ใช้สกุลเงินท้องถิ่นร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือ ดอลลาร์ เยน ยูโร หยวน และสกุลเงินดิจิทัลของภูมิภาค อาจมีบทบาทร่วมในการกำหนด “เสถียรภาพ” แทนการผูกติดกับสกุลใดสกุลหนึ่ง ในโลกใหม่นี้ ไทยจะสามารถสร้างบทบาทได้อย่างไร?
คำตอบอยู่ที่ความร่วมมือเชิงรุก การใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ และการเตรียมภาคธุรกิจให้พร้อมรับโอกาสจากทุกด้าน
สู่ระบบการเงินใหม่ของเอเชีย: บทบาทของไทยในยุทธศาสตร์การเงินโลกยุคดิจิทัล
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบการเงินโลกในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา สามารถสรุปออกมาเป็น 3 ประเด็นหลักที่ผู้บริหารธุรกิจและผู้นำทางเศรษฐกิจควรตระหนัก:
1. การเสื่อมบทบาทของดอลลาร์สหรัฐฯ
แม้ยังเป็นสกุลหลักในตลาดทุนและน้ำมัน แต่การใช้ดอลลาร์ในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในเอเชียและกลุ่มประเทศ BRICS กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
2. การเกิดขึ้นของระบบเงินดิจิทัลที่รัฐสนับสนุน
ไม่ว่าจะเป็น CBDC, แพลตฟอร์ม mBridge, หรือระบบ cross-border QR payment ที่หลายประเทศใช้งานจริงแล้ว
3. การกระจายอำนาจและความหลากหลายของผู้เล่น
ทั้งประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ กลุ่มความร่วมมือภูมิภาค และบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ต่างเข้ามามีบทบาทในระบบการเงิน ไม่จำกัดอยู่ที่ธนาคารกลางหรือ IMF อีกต่อไป
แนวโน้มในระยะ 5–10 ปีข้างหน้า
▶ ระบบการเงินพหุศูนย์กลาง (Multipolar Financial System) ไม่มีสกุลใดเป็นศูนย์กลางแบบเบ็ดเสร็จอีกต่อไป จะมีการใช้งานสกุลเงินระดับภูมิภาคร่วมกัน
▶ การค้าและการเงินในภูมิภาคจะ “ไม่ผ่านดอลลาร์” มากขึ้น อาจเริ่มจากการค้าระหว่างอาเซียนกับจีน อินเดีย รัสเซีย แล้วขยายไปยังตลาดแอฟริกาและละตินอเมริกา
▶ การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ตาม “ตะกร้าเงินดิจิทัล” มีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตจะมีแพลตฟอร์มอัตราแลกเปลี่ยนที่คำนวณจาก real-time data ของ CBDC และดัชนีราคาแบบใหม่
โอกาสและข้อเสนอสำหรับประเทศไทย
สำหรับภาครัฐ:
- ผลักดันโครงการ Regional CBDC Sandbox
ไทยควรร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและ BRICS ในการทดลองโอนเงินด้วย CBDC แบบ real-time และปลอดภัย - เร่งพัฒนา Thai Financial Infrastructure 5.0
ปรับโครงสร้างการเงินภายในประเทศให้รองรับการเชื่อมต่อระบบการเงินระหว่างประเทศ ทั้งระบบบัญชี ระบบภาษี และการชำระเงิน - ตั้ง “ASEAN+BRICS Finance Forum”
เพื่อเป็นเวทีหารือเชิงนโยบายด้านเทคโนโลยีการเงิน กำหนดทิศทางร่วมของภูมิภาค และเชื่อมกับกลุ่ม EU, G20
สำหรับภาคเอกชน:
- ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีการเงินของธุรกิจ (Financial Readiness)
รองรับการรับชำระเงินหลายสกุลแบบเรียลไทม์ ปรับระบบ ERP และบัญชีให้รองรับเงินท้องถิ่น - สร้างความร่วมมือกับ Fintech และ Regtech
เพื่อพัฒนาโซลูชันเฉพาะธุรกิจ เช่น ระบบเครดิตดิจิทัลใน Supply Chain, การเงินแบบ Tokenized - ติดตามนโยบายการเงินระดับภูมิภาคอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะกลไกการโอนเงิน การออกพันธบัตรดิจิทัล และการประเมินความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
คำส่งท้าย: ทางรอดคือความร่วมมือ ทางรุ่งคือเทคโนโลยี
โลกการเงินไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประเทศที่เข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง และสามารถผนวก “ความร่วมมือระหว่างประเทศ” เข้ากับ “พลังเทคโนโลยีดิจิทัล” จะเป็นผู้กำหนดทิศทางใหม่ของเศรษฐกิจโลก
ประเทศไทยมีโอกาสเป็นหนึ่งในนั้น—หากเรากล้าคิดเชิงยุทธศาสตร์ และลงมือทำอย่างจริงจัง
“ระบบการเงินคือรากฐานของความมั่นคงแห่งชาติ และในโลกยุคใหม่ รากฐานนั้นคือดิจิทัล”
คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2568
ดร. สุทัศน์ เศรษฐ์บุญสร้าง
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มืดแปดด้าน! 'ภูมิธรรม' ไม่รู้ 'เรือดำน้ำ' ไปต่อหรือยกเลิก หลังเยอรมันไม่ขายเครื่องยนต์
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายก และรมวกลาโหม ให้สัมภาษณ์ ภายหลัง เยอรมันปฏิเสธขายเครื่องยนต์ เรือดำน้ำให้ไทย ว่า ได้พูดคุยกับ รมว กลาโหม เยอรมัน เนื่องจากก่อนหน้านี้เราได้ทำจดหมาย มาสอบถาม
'ดร.กอบศักดิ์' เผยอิทธิฤทธิ์กำแพงภาษีทำรายได้ศุลกากรสหรัฐพุ่ง 87.4%
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ
กมธ.เกษตรฯ บอกยังไม่น่าไว้วางใจแม้ขุนคลังมะกันชมข้อเสนอไทย
'กมธ.เกษตรฯ' เชิญ 'กษ.-พณ.' แจงแนวทางรับมือภาษีทรัมป์ บอกยังไม่วางใจขุนคลังมะกันชมข้อเสนอไทยดีมาก ชี้ต้องรอผลเจรจา แนะ รบ.เร่งวางแผนรับมือผลกระทบต่อเกษตรกร
'ดร.กอบศักดิ์' จับตา สงครามการค้า สหรัฐ กับ จีน ยกสอง จีนอาจจะไม่ยอม
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กว่า