
ปัจจุบัน “สังคมสูงวัย” ถูกมองว่าเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม
ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2025 (ที่มา: The Standard) โดยมีประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด (ที่มา: Hydraulic Home Lift) และคาดว่าจะเป็นร้อยละ 28 ในปี 2033 (ที่มา: ThaiPublica)
อัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุเพิ่มขึ้นจาก 10.7 ในปี 1994 เป็น 31.1 ในปี 2024 หมายความว่า ประชากรวัยทำงาน 100 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุประมาณ 31 คน (ที่มา: Policy Watch)
บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะก่อให้เกิดการชะลอตัวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจากการแย่งใช้ทรัพยากร การเพิ่มภาระต่อฐานะการคลังของประเทศจากค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและด้านสาธารณสุข โดยมีข้อเสนอแนะคล้ายๆ กัน โดยมุงเน้นให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี และให้สังคมสามารถดำรงอยู่ได้ ด้วยการพัฒนาอาชีพและการจ้างงานผู้สูงอายุ การพัฒนาระบบสวัสดิการ ส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรค ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ
การมองสังคมสูงวัยในลักษณะนี้ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอายุที่แตกต่าง และทำให้คนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าถูกแบ่งแยกเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน และสร้างปัญหาจนเป็นวิกฤติหากไม่แก้ไขให้ถูกต้อง
ยิ่งไปกว่านั้น การลดอัตราการเสียชีวิตของเด็กและทารก ความก้าวหน้าทางการแพทย์ การปรับปรุงด้านโภชนาการและสุขอนามัย การพัฒนาด้านการศึกษา ส่งผลให้อายุขัยเฉลี่ยของประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 46.5 ปี ในปี 1950 เป็น 66.5 ปี ในปี 2000 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 73.5 ปี ในปี 2025 (ประเทศไทย 76.8 ปี) ข้อมูลจากองค์กรอนามัยโลกระบุว่า คนที่เกิดหลังปี 2000 ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนเกิน 80 ปี และกลุ่มที่มีสุขภาพดีอาจแตะหลัก 90 หรือ 100 ปี ได้ในอนาคตอันใกล้
สิ่งที่กำลังเปลี่ยนไปในตอนนี้ คือ ความจริงที่ว่าคนหนุ่มสาวและวัยกลางคนในวันนี้ สามารถคาดหวังได้เลยว่า ตัวเองจะกลายเป็นผู้สูงอายุในอนาคต ต่างจากประวัติศาสตร์ที่มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีชีวิตยืนยาวพอที่จะเข้าสู่วัยชรา นั่นคือ ความจริงที่ว่า เราทุกคนมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนขึ้น
บางคนอาจสับสนหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการมีชีวิตยืนยาว ว่าจะมาพร้อมกับความเจ็บป่วย ความอ่อนแอ และการขาดแคลนทรัพยากร หรือเรายังมีสุขภาพดี มีความสามารถในการทำงาน และมีส่วนร่วมในสังคมอยู่ได้ จึงขึ้นอยู่กับการวางแผนและใช้ชีวิตในแบบที่ต่างออกไปจากวันนี้ เตรียมพร้อมสำหรับชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ให้เราแก่ตัวลงอย่างมีคุณภาพ มีส่วนร่วม และมีคุณค่า
ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับบุคคล คือ ตัวเราเอง และการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนค่านิยมและวัฒนธรรมใหม่ทั้งหมด ให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่นี้ เพื่อเปลี่ยนสังคมสูงวัยจากภาระ ให้เป็นพลังทรัพยากรของสังคม
หนังสือ The Longevity Imperative โดย Andrew J. Scott นักเศรษฐศาสตร์จาก London Business School เป็น 1 ใน 5 ของหนังสือที่ติด Shortlisted ของ 2024 Best Business Book ของ Financial Times เป็นผลงานที่สำรวจผลกระทบของอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น โดยมองว่า การมีชีวิตยืนยาว เป็นภารกิจจำเป็น โดย Scott เรียกว่า “ภารกิจชีวิตยืนยาว” (Longevity Imperative) ทั้งในระดับบุคคล และส่วนรวม จำเป็นต้องมุ่งมั่นในสิ่งที่เขาเรียกว่า Evergreen Agenda โดยเทียบเคียงกับคำว่า evergreen ของพืชที่แปลว่า ความสามารถคงความเขียวชอุ่มไว้ได้นานจนเลยฤดูกาลเพาะปลูกไปแล้ว นำมาใช้กับบริบทในเรื่องนี้ คือ การเป็นแนวทางที่มีคุณค่ายั่งยืน และเกี่ยวข้องกับทุกช่วงวัยอย่างต่อเนื่อง หรือ “วาระเพื่อการมีชีวิตที่มีคุณภาพในระยะยาว”
ความก้าวหน้าในอดีตทำให้เรามีชีวิตยืนยาวขึ้น ความก้าวหน้าในอนาคต คือ ภารกิจชีวิตยืนยาว โดยมีวาระเพื่อการมีชีวิตที่มีคุณภาพ หรือการทำให้เวลาที่เพิ่มขึ้นนี้มีคุณค่ามากที่สุด ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราแก่ตัวลง เป็นเรื่อง สังคมอายุยืน (Longevity Society) ไม่ใช่ สังคมสูงวัย (Aging Society)
Evergreen Agenda เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีที่แต่ละคนวางแผนชีวิตและอาชีพ การเปลี่ยนแปลงในระบบสุขภาพ เศรษฐกิจ และการเงิน ตลอดจนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในมุมมองทางวัฒนธรรมและปรัชญาเกี่ยวกับความแก่และการสูงวัย
Scott กล่าวในบทนำว่า Megatrend ที่มีอิทธิพลต่อมนุษยชาติในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้มีเพียงแค่ 2 เรื่อง คือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เท่านั้น เรื่องที่ 3 ที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ ความท้าทายเรื่อง ภารกิจอายุยืน (Longevity Imperative) ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ใช้เวลาอีกยาวนาน เทียบกับเรื่องภาวะโลกร้อนที่ตื่นตัวกันมาหลายทศวรรษแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งมากมายที่ต้องทำต่อไป
ยุคที่สองของการปฏิวัติเพื่ออายุยืนยาว
ในยุคแรกของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกี่ยวกับการมีอายุที่ยาวนานขึ้น เกิดจากความก้าวหน้าของวิธีการทางการแพทย์ (Scientific Methods) เช่น การค้นพบทฤษฏีจุลชีวะ (germ theory) ที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น วัคซีน ยาปฏิชีวนะ การถ่ายเลือด รังสีวิทยา การดูแลด้านสาธารณสุข เช่น การรักษาความสะอาด รณรงค์เรื่องบุหรี่และแอลกอฮอล์ การคาดเข็มขัดนิรภัย และการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานการดำรงชีวิต เช่น การดูแลด้านโภชนาการ เส้นใยที่ใช้ซ้ำได้มีราคาถูกลง น้ำยาทำความสะอาด สุขภัณฑ์ที่ถูกสุขลักษณะ เหล่านี้มีส่วนผลร่วมกันในการยืดอายุขัยของมนุษย์
ปัจจุบัน เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่สองของการปฏิวัติด้านอายุยืน ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่การแก่ตัวอย่างมีคุณภาพ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติอายุยืนยุคแรกจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ตอนนี้เราจำเป็นต้องมีระบบสุขภาพที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันมากกว่าการรักษา เราต้องการการใช้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาชีววิทยาของการแก่ตัว หรือเวชศาสตร์ผู้สูงวัย (gerontology) มากกว่าที่จะเน้นเฉพาะโรคบางชนิด
ปัจจุบัน คนที่ตายในช่วงครึ่งหลังของชีวิต เกิดจากโรคไม่ติดต่อ แต่เป็นโรคที่พัฒนาอย่างช้าๆ และยาวนาน เช่น เบาหวาน มะเร็ง ผลลัพธ์ที่ตามมา คือ ระบบการดูแลสุขภาพ (health system) ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเงินมากขึ้น จนไม่สามารถเน้นที่การส่งเสริมสุขภาพของประชาชน แต่กลับต้องให้ความสำคัญไปที่การรักษาโรคเหล่านี้มากขึ้น ถึงเวลาแล้วสำหรับการปฏิวัติด้านสุขภาพ เพื่อให้คนยุคปัจจุบันที่จะมีอายุยืนยาว สามารถใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายด้วยสุขภาพที่ดี
การเปลี่ยนแปลงงบประมาณด้านสาธารณสุข
เพื่อให้เห็นถึงความท้าทาย ลองพิจารณาจาก 3 องค์ประกอบ ของระบบการดูแลสุขภาพได้แก่ ด้านสาธารณสุข ด้านการดูและรักษาพยาบาล และด้านการดูแลรักษาระยะยาว ภายใต้การปฏิวัติอายุยืนระยะแรก ด้านสาธารณสุข คือ การดูแลสุขภาพของประชากรโดยรวม ไม่ใช่เฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยหน้าที่ของสาธารณสุขรวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การลดการบริโภคยาสูบและแอลกอฮอล์ การบังคับให้คาดเข็มขัดนิรภัย และการติดตามเฝ้าระวังโรคติดเชื้อต่างๆ
การดูแลรักษาพยาบาล มุ่งเน้นที่สุขภาพของแต่ละบุคคล และประกอบด้วยการดูทั้งการดูแลขั้นพื้นฐาน และการรักษาเฉพาะทาง ที่ให้บริการโดยแพทย์ พยาบาล ศัลยแพทย์ คลินิก เภสัชกร และโรงพยาบาล และการดูแลรักษาระยะยาว คือ การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการการพยาบาลหรือการดูแลอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น โรคเรื้อรังหรือความบกพร่องด้านร่างกายหรือจิตใจ ซึ่งอาจให้บริการทั้งที่บ้านของผู้ป่วยหรือในสถานดูแลเฉพาะทาง
องค์ประกอบทั้ง 3 นี้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงเพื่อรับมือกับการปฏิวัติด้านอายุยืนในยุคที่สอง ด้านสาธารณสุข มักได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คน และทำให้การมีวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพเป็นเรื่องง่ายขึ้น ระบบการดูแลรักษาพยาบาล ใช้ทรัพยากรส่วนใหญ่ของงบประมาณ ให้มุงเน้นไปที่การวินิจฉัยและรักษาโรคเฉพาะ มากกว่าการป้องกัน และการดูแลรักษาสุขภาพในระยะยาว ปัจจุบัน ในบรรดาประเทศที่มีรายได้สูง เพียงร้อยละ 2.5 ของงบประมาณด้านสาธารณสุขทั้งหมด ที่ให้ความสำคัญด้านการป้องกัน ระบบการดูและระยะยาว ปัจจุบันยังได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ และยังไม่ได้เชื่อมโยงอย่างเหมาะสมกับระบบการรักษาพยาบาล ส่งผลให้ระบบการดูแลสุขภาพที่เคยสนับสนุนยุคแรกของการปฏิวัติด้านอายุยืนได้อย่างยอดเยี่ยม กลับไม่พร้อมสำหรับการปฏิวัติครั้งที่สอง และดูแลสุขภาพได้อย่างยั่งยืน
การปฏิวัติครั้งที่ 2 จะต้องการมากกว่าการมีระบบสุขภาพแบบใหม่ แต่ยังต้องอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และความสำเร็จทางการแพทย์ที่จะช่วยให้เราแก่ตัวอย่างมีคุณภาพ ซึ่งหมายถึงการลงทุนในการวิจัยด้าน การศึกษาชีววิทยาของการแก่ตัว (geroscience) การเปลี่ยนจากการรักษาไปสู่การป้องกันโรค จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากขึ้นกับนโยบายสุขภาพที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาทางคลีนิก โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่และทางเลือกที่เราตัดสินใจ
ในโลกที่ผู้คนอายุยืนยาว (evergreen world) การดูแลสุขภาพจะได้รับอิทธิพลมากขึ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นห่างไกลจากแพทย์และโรงพยาบาล วิธีที่เรามีอายุยืนยาวขึ้นนั้นได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ตั้งแต่สิ่งแวดล้อมที่เราสร้างขึ้น ลักษณะของงานที่ทำ ระบบการขนส่งสาธารณะ ความโดดเดี่ยวทางสังคม อาหารที่เราบริโภค ความมั่นคงทางการเงิน การเลือกปฏิบัติตามความแตกต่างของอายุ และอีกมากมาย ในโลกที่ผู้คนอายุยืน ระบบสุขภาพจึงต้องมีขอบเขตที่กว้างขวางขึ้นกว่าที่เคย
ข้อคิดด้านการเงิน
ในหนังสือ Scott กล่าวถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อระบบบำนาญของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ช่องว่างระหว่างเงินทุนที่ถูกจัดสรรไว้สำหรับการจ่ายบำนาญในอนาคต กับจำนวนเงินที่ผู้เกษียณในอนาคตจะได้รับ คาดว่า จะสูงถึง 137 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2050 เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก ประชากรมีชีวิตยาวขึ้นก็เท่ากับรัฐบาลมีภาระต้องจ่ายบำนาญเป็นเวลานานขึ้น ในขณะที่อัตราการเกิดลดลง หมายความว่า ประชากรในวัยแรงงานที่จะเป็นผู้จ่ายภาษีเพื่ออุดหนุนกองทุนบำนาญมีจำนวนน้อยลง เกิดแรงกดดันให้หลายประเทศต้องการยืดอายุของการเกษียณอายุออกไป และความพยายามที่จะปิดช่องว่างนี้ด้วยการปรับปรุงแผนบำเหน็จบำนาญให้สามารถอยู่รอดได้
ความท้าทายจากการมีอายุยืนยาวขึ้นนั้น ทั้งต่อเราและภาคการเงิน ซึ่งเราจำเป็นต้องให้ภาคการเงินมีการปรับตัว และพัฒนาวิธีการใหม่ๆ ในการจัดการกับความเปลี่ยนแปลงนี้
การรับมือกับความยาวนานของชีวิตจำเป็นต้องผสมผสานระหว่างการทำงานนานขึ้น การออมเงินมากขึ้น การแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ตลอดจนการหาวิธีประกันตนเองจากการมีชีวิตที่ยาวนานขึ้น เมื่อเราปรับตัวเข้าสู่ยุคแห่งอายุยืน เราต้องตัดสินใจว่าจะใช้การตอบสนองรูปแบบใด หรือผสมผสานกันอย่างไรให้เหมาะสมที่สุด
เราไม่รู้ว่าจะต้องการเงินมากน้อยแค่ไหนตอนที่เราเกษียณ เราไม่รู้ว่าเราจะมีอายุต่อไปอีกนานเท่าไร เราไม่รู้ว่าหากนำเงินไปลงทุนจะได้ผลตอบแทนเท่าใด และเราไม่รู้ว่าเราจะสามารถยืดอายุการทำงานออกไปได้อีกนานเท่าไร ทำให้เราต้องมีความยืดหยุ่นในแผนของเรา และต้องมีความสามารถในการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์
Scott อ้างถึงหนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อ The 100-Year Life ที่เขาแต่งร่วมกับ Lynda Gratton ว่า การประเมินความมั่งคั่งของคุณไม่ควรจำกัดแค่ทรัพย์สินทางการเงินเท่านั้น แต่ควรรวมถึงสิ่งที่เรียกว่า “ทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้” (intangible assets) ด้วย เช่น ทักษะและความรู้ สุขภาพ มิตรภาพ เป้าหมายในชีวิต และความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง คุณควรตรวจสอบสินทรัพย์ทั้งหมดเหล่านี้ในแต่ละปี เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้เติมเต็มช่องว่างที่อาจเกิดขึ้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ในด้านการเงินเท่านั้น จะช่วยให้คุณมีความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันตลอดชีวิตที่ยาวนาน
หากคุณจำเป็นต้องปรับแผนการเงินของคุณด้วยการทำงานต่อไปนานขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ดี คุณจะยังมีทักษะเพียงพอสำหรับการทำงานนั้นหรือไม่? หากคุณต้องการมีช่วงเวลาเกษียณที่ยาวนานและมีความสุข สุขภาพของคุณดีพอหรือเปล่า หรือว่าคุณจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ? ครอบครัวของคุณจะมีความสุขที่มีคุณอยู่ด้วยนานขึ้นหรือไม่? คุณต้องหลีกเลี่ยง “ไฟเตือน” ที่อาจกระพริบขึ้นบนแผงหน้าปัดแห่งชีวิตของคุณ
ในมุมมองทางการเงิน เรื่องเหล่านี้มีนัยสำคัญหลายประการ เช่น การวางแผนการเงินควรผสานเข้ากับการประเมินสุขภาพ และเพื่อช่วยในการวางแผนทางการเงิน คุณจำเป็นต้องอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับ “อายุขัยที่เป็นไปได้” ของคุณอยู่เสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอุตสาหกรรมการวางแผนทางการเงินจึงเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นกับการวัด “อายุชีวภาพ” (biological age) การตัดสินใจว่าจะหยุดทำงานเมื่อใด ต้องใช้เงินเท่าไหร่ และคุณจะต้องใช้เงินดูแลสุขภาพเท่าไหร่ ล้วนเป็นการตัดสินใจที่สามารถทำได้ดีขึ้น เมื่อคุณมีความรู้เกี่ยวกับอายุชีวภาพของตัวเองมากขึ้น
ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของ Evergreen Agenda
Scott ได้พิสูจน์ความคุ้มค่าในทางเศรษฐศาสตร์ของ Evergreen Agenda ใน 2 ประเด็น คือ
- ความสำคัญของการ “ลดช่วงเวลาของการเจ็บป่วย” และ “เพิ่มอายุสุขภาพ” (healthspan) เป็นวิธีที่เราจะมีอายุยืนและมีสุขภาพดีได้ยาวนานขึ้น
- ความคุ้มค่าของการเปลี่ยนแนวคิดจาก “การรักษาโรคเฉพาะเจาะจง” มาเป็นการเน้นที่ การป้องกันและการชะลอความเสื่อมของร่างกาย ผ่านการชะลอความแก่ในระดับชีวะภาพ (biological aging)
เครื่องมือที่ Scott ใช้ในการวิเคราะห์ คือ “มูลค่าชีวิตเชิงสถิติ” (Value of a Statistical Life หรือ VSL) คือ มูลค่าทางเศรษฐกิจที่สังคม (หรือรัฐบาล) “ตั้งเอาไว้” ว่าชีวิตของคนๆ หนึ่ง มีค่าเท่าไหร่ในการตัดสินใจเชิงนโยบาย เช่น การตัดสินใจในการรักษาสุขภาพ การลดอุบัติเหตุ หรือการควบคุมมลพิษ
VSL เป็นค่าสถิติที่ได้จากการสำรวจ ว่าเราควรใช้เงินเท่าใดเพื่อลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต ยกตัวอย่าง เช่น เรายินดีจ่ายเงินจำนวน 10,000 ดอลลาร์ เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยในรถยนต์ที่ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของคุณลงได้ 1 เปอร์เซ็นต์ ก็หมายความว่า VSL ของเราเท่ากับ 1 ล้านดอลลาร์ (10,000 x 100) หรือได้จากการวิเคราะห์จากตลาดแรงงาน ว่าคนต้องการค่าจ้างสูงขึ้นเท่าไหร่ ถ้าต้องไปทำงานที่เสี่ยงชีวิตมากขึ้น นำข้อมูลจากทั้ง 2 วิธี มาเฉลี่ยมาคำนวณเป็นมูลค่าชีวิตหนึ่งคนในเชิงเศรษฐศาสตร์
รัฐบาลสหรัฐฯ โดยหน่วยงาน Environmental Protection Agency (EPA) ประเมินค่า VSL ไว้ที่ 11.4 ล้านดอลลาร์ ต่อหนึ่งชีวิต ในปี 2022
การวิเคราะห์โดยใช้ VSL (Value of Statistical Life) เป็นแนวทางหนึ่งที่ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของนโยบายหรือมาตรการด้านสุขภาพ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับการยืดอายุหรือการลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต มาดูการอธิบายและสรุปในประเด็นว่า การป้องกันและชะลอความเสื่อมของร่างกายคุ้มค่ากว่าการรักษาโรคเฉพาะทาง ได้อย่างไร:
ทางเลือก 1 การป้องกันและชะลอความเสื่อมของร่างกาย ได้แก่ ลงทุนด้านโภชนาการ, การออกกำลังกาย, การนอนหลับ, การตรวจสุขภาพประจำปี ช่วยลดอัตราการเกิดโรคเรื้อรัง (เบาหวาน, หัวใจ, มะเร็ง) และยืดอายุเฉลี่ยอย่างมีคุณภาพ เมื่อใช้ VSL วิเคราะห์: การยืดอายุเฉลี่ย (แม้เพียงไม่กี่ปี) ให้ประชากรจำนวนมาก ย่อมให้ “มูลค่าผลประโยชน์” สูงมาก
ทางเลือก 2 การรักษาโรคเฉพาะทางใช้ทรัพยากรสูง (ค่าใช้จ่ายด้านยา, เครื่องมือแพทย์, บุคลากรเฉพาะทาง) มักเกิดเมื่อโรคพัฒนาไปแล้ว — ประสิทธิภาพในการยืดชีวิตอาจไม่สูง ผลลัพธ์ด้านคุณภาพชีวิตอาจจำกัด และ VSL ที่คำนวณได้อาจต่ำกว่า เมื่อเทียบกับต้นทุนที่ใช้ไป
ข้อสรุปจากการวิเคราะห์ VSL การลงทุนเพื่อป้องกันและชะลอความเสื่อมของร่างกาย มักให้ อัตราผลตอบแทนต่อสังคม (ROI) สูงกว่า เพราะต้นทุนต่อหัวต่ำ และ เมื่อใช้ VSL คำนวณ จะพบว่า “มูลค่าชีวิตที่ยืดออกไปด้วยการป้องกัน” มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าการพยายามยืดชีวิตหลังเกิดโรคร้ายแรงแล้ว
บทส่งท้าย
สาเหตุที่การวิเคราะห์สังคมสูงวัยมักมีมุมมองในแง่ลบก็เพราะมันมุ่งเน้นไปที่สัดส่วนของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และมองว่าผู้สูงอายุไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานและสุขภาพย่ำแย่ อันเป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
แต่การเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามีอายุยืนยาวตามแนวคิด “ภารกิจชีวิตยืนยาว” (The Longevity Imperative) เราก็จะสามารถเพิ่มมาตรฐานการครองชีพได้แทนที่จะลดลง ในโลกที่มีความเขียวชอุ่มอยู่ตลอดเวลา (evergreen world) GDP จะเพิ่มขึ้นจากผลประโยชน์จากการมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (longevity dividend) แทนที่จะลดลงเพราะสังคมสูงวัย
นวัตกรรมและการลงทุนด้านเทคโนโลยี สุขภาพ และการศึกษา ที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาว แข็งแรง และมีประสิทธิภาพ มีความจำเป็นที่จะเอาชนะอนาคตอันหม่นหมองของสังคมสูงวัย เป็นภารกิจของคนทุกรุ่น โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว คนในวัยทำงาน และเป็นภารกิจต่อเนื่องตลอดชีวิต
ภารกิจชีวิตยืนยาวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางออกสำหรับปัญหาสังคมสูงวัย
วิจักษณ์ ศิริแสร์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘สมศักดิ์’ เปิดเวทีสุโขทัย ชู 4 ยุทธศาสตร์ ‘อยู่ดี มีสุข’ รับมือสังคมสูงวัย ลดผู้ป่วยติดเตียง
รมว.สธ. “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาคเหนือตอนล่าง หนุนพลังชุมชนเข้มแข็ง รับมือสังคมสูงวัย ด้วย 4 ยุทธศาสตร์ “ร่วมปฏิบัติการ-พัฒนานโยบาย-เรียนรู้-สร้างพื้นที่กลาง” ลั่นเดินหน้าลดผู้ป่วยติดเตียง เน้นกินดี-ออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นภาระลูกหลาน
รัฐบาลหนุนโครงการ 'เดินดีไปด้วยกัน' ลดเสี่ยงกระดูกหักในผู้สูงอายุ
รัฐบาลเดินหน้ารับมือสังคมสูงวัย หนุนโครงการ 'เดินดีไปด้วยกัน' ลดเสี่ยงกระดูกหักในผู้สูงอายุ เผยนำร่อง 11 จังหวัด ตัวเลขหกล้ม-เสียชีวิตน้อยลง
บทเรียนจากญี่ปุ่นในการรับมือสังคมสูงวัยสำหรับประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าในปี 2035 ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มเป็น 28% ของประชากรทั้งหมด สถานการณ์นี้คล้ายคลึงกับประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัยตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และปัจจุบันมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 28% ของประชากรทั้งหมด (World Bank, 2021) อย่างไรก็ดี ประเทศญี่ปุ่นได้พัฒนากลยุทธ์และนโยบายหลายด้านเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้
'พิพัฒน์' กล่าวบนเวทีโลก OECD ชูพัฒนาคน รองรับเศรษฐกิจใหม่ รับมือAI สังคมสูงวัย และแรงงานอิสระยั่งยืน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายศักดินาถ สนธิศักดิ์โยธิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี OECD หัวข้อ ขอบเขตใหม่สำหรับนโยบายสังคม : การลงทุนในอนาคต OECD Ministerial meeting New Frontiers for Social Policy : Investing in the Future OECD ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส


