วิกฤตข้ามพรมแดน: เมื่อน้ำ-อากาศของไทย "ป่วย"

เมื่อถึงฤดูแล้ง ท้องฟ้าภาคเหนือของไทยจะกลายเป็นสีส้มหม่น ๆ ผู้คนต้องสวมหน้ากากอนามัย และเมื่อถึงฤดูฝน น้ำในแม่น้ำกกก็กลายเป็นสีขุ่นข้นจนน่ากลัว นี่คือภาพสะท้อนของวิกฤตมลพิษที่ไม่ได้เกิดจากแค่ปัญหาภายในประเทศ แต่เป็น “มลพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Pollution)” ซึ่งมีสาเหตุหนึ่งจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ประเทศไทยต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนความเสียหายอย่างมหาศาล

ในทางเศรษฐศาสตร์ วิกฤตเหล่านี้คือตัวอย่างของ “ผลกระทบภายนอก (Externality)” ซึ่งหมายถึง กิจกรรมทางเศรษฐกิจของฝ่ายหนึ่ง เช่น การขุดแร่แบบทำลายล้างในเหมืองแร่ หรือเผาตอซังข้าวโพด ไปสร้างความเสียหายให้กับคนอื่นๆ โดยที่ผู้ก่อความเสียหายไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย ผลที่ตามมา คือ “ความล้มเหลวของตลาด (Market Failures)” เพราะผู้ก่อมลพิษได้ประโยชน์จากการลดต้นทุน แต่สังคมต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมแทน

สองกรณีศึกษาที่เด่นชัด: กรณีแม่น้ำกกปนเปื้อนสารพิษ และ PM 2.5

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคเหนือของประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามแดนที่สำคัญสองด้าน คือ มลพิษทางน้ำ และ มลพิษทางอากาศ (PM 2.5)

กรณีมลพิษทางน้ำจากเหมืองแร่ในเมียนมา

แม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ มีการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน ต้นตอของปัญหาคือการทำเหมืองแร่หายากและเหมืองทองคำในรัฐฉาน และรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา โดยมีรายงานว่ากลุ่มทุนจากจีนเข้าไปลงทุนและทำการผลิตจำนวนมากโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และผลผลิตที่ได้เป็นรายได้ของรัฐ และนักลงทุนทุนหากแต่ผลกระทบตกกับคนท้องถิ่นและข้ามแดนมายังประเทศไทย โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ คือ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนแม่น้ำกกจะไหลต่อไปยังหลายอำเภอในจังหวัดเชียงราย

การกระทำนี้เรียกว่า “การส่งผ่านต้นทุนมลพิษ” (Pollution Cost Outsourcing) เพราะเมื่อประเทศจีนเริ่มคุมเข้มการทำเหมืองที่ก่อมลพิษในประเทศตัวเอง บริษัทเหล่านี้ก็ย้ายไปทำเหมืองในพื้นที่ที่กฎหมายอ่อนแอหรือไม่มีการบังคับใช้เช่นประเทศเมียนมา ทำให้ต้นทุนความเสียหายถูกผลักภาระมาให้ประเทศไทยและประชาชนชาวเมียนมาเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กรณีฝุ่นพิษจากการเผาตอซังข้าวโพดทั้งในประเทศเมียนมาและประเทศลาว

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในภาคเหนือ นอกจากจะมาจากกิจกรรมการเผาภายในประเทศไทยแล้ว ยังมีส่วนสำคัญมาจาก “การเผาในที่โล่ง” เพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตรในประเทศเมียนมาและประเทศลาว และลมตามฤดูกาลได้พัดพาหมอกควันข้ามพรมแดนเข้าสู่ภาคเหนือของไทย ซึ่งมีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ทำให้ฝุ่นสะสมตัวจนส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และคนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ

ความเสียหายที่ต้องตรวจวัดและประเมินค่าได้: เพราะตัวเลขจะไม่โกหก

แม้มลพิษทางน้ำและอากาศดังกล่าวจะเป็น “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” แต่ความเสียหายเหล่านี้มีความจำเป็นต้อง “วัดได้” และต้องประเมินเป็นตัวเงินได้ เพราะการบริหารจัดการมลพิษข้ามพรมแดน ต้องการการเจรจาและบริหารจัดการอย่างจริงจัง

  • กรณีผลกระทบในแม่น้ำกก: มีการประเมินเบื้องต้นว่า ความเสียหายจากน้ำปนเปื้อนในแม่น้ำกกต่อภาคการท่องเที่ยว, เกษตรกรรม และการประมงในเชียงรายและเชียงใหม่สูงถึง 1,300 ล้านบาทต่อปี ธุรกิจท่องเที่ยวริมน้ำได้รับผลกระทบหนัก และเกษตรกรที่ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 3,200 ล้านบาทต่อปีก็ตกอยู่ในความเสี่ยง
  • ฝุ่นพิษ PM 2.5: แม้จะไม่มีตัวเลขเฉพาะสำหรับภาคเหนือ แต่การศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยประเมินว่าปัญหาฝุ่นพิษในกรุงเทพฯ และปริมณฑลสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 3,000–6,000 ล้านบาทต่อปี โดยกว่า 75% ของความเสียหายนี้มาจาก ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดที่สังคม (ประชาชนที่อยู่ในบริเวณรับมลพิษ) ต้องแบกรับ

อย่างไรก็ตาม การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในสองกรณีนี้รัฐต้องเร่งในการประเมินผลกระทบโดยเริ่มจากการติดตั้งเซนเซอร์ หรือการมีทีมภาคสนามลงไปเก็บข้อมูล ในประเทศไทยมีการผลิตเครื่องมือตรวจวัดการน้ำปนเปื้อนโลหะหนัก สารหนู โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ เซนเซอร์ตรวจจับฝุ่นพิษ เพื่อคำนวณหาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

เอาข้อมูลที่ได้เป็นฐานในการเจรจาและใช้กลไกการเมืองระหว่างประเทศ

ทางออกที่ยั่งยืน: ใช้เศรษฐศาสตร์นำการเมือง

เนื่องจากการแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนไม่สามารถทำได้ด้วยการจัดการภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์หลากหลายเครื่องมือ ตัวอย่าง เช่น

  1. “ภาษีผู้ก่อมลพิษ” ตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pay Principle): หลักการคือการเก็บภาษีจากผู้ที่ก่อมลพิษในอัตราที่เท่ากับความเสียหายที่สังคมต้องแบกรับ แม้จะนำไปใช้กับผู้ก่อมลพิษในต่างประเทศโดยตรงได้ยาก แต่ไทยสามารถพิจารณามาตรการทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การเก็บภาษีนำเข้าในอัตราห้ามนำเข้า กับสินค้าเกษตรที่มาจากพื้นที่ที่มีการเผาหรือก่อมลพิษทางอากาศ หรือการไม่ทำการค้ากับประเทศต้นทางที่ก่อมลพิษทางน้ำ
  2. “การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการแก้ปัญหาเป็นลำดับชั้น”: ประเทศไทยโดยหน่วยงานที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงควรบูรณาการกันในการบำบัดน้ำปนเปื้อน ซึ่งอาจใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับและติดตามน้ำเสียที่ปนเปื้อนโลหะหนัก และบำบัดในภาพรวมคล้ายกับการประปาของปักกิ่งที่ใช้เซนเซอร์ในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงเรื่องการปนเปื้อนสารพิษในน้ำ ในระดับชุมชนก็จัดให้มีการใช้เทคโนโลยีในการบำบัดน้ำอย่างเหมาะสมในแต่ละชุมชนโดยการสนับสนุนจากรัฐบาล และในครัวเรือนก็ให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการกรองน้ำครัวเรือนสำหรับน้ำดื่ม
  3. เมื่อมีการเจรจา ต้องมีผลบังคับใช้: ความร่วมมือที่มีอยู่ เช่น ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (Clear Sky Strategy) แผนปฏิบัติการร่วม “ไทย-ลาว-เมียนมา” กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ กระทรวงการต่างประเทศ ของไทย ร่วมกับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมียนมา เปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (Clear Sky Strategy) (พ.ศ. 2567 – 2573) เพื่อยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า ฝุ่นละออง รวมถึงหมอกควันข้ามแดน ซึ่งทั้ง 3 ประเทศ บูรณาการความร่วมมือทั้งระดับหน่วยงานรัฐ ประชาชน และภาคประชาสังคม กันมาอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์ดังกล่าวยังขาดกลไกที่แข็งแกร่งและมีผลผูกพันทางกฎหมาย ภาคประชาสังคมจึงเสนอให้มีการจัดตั้ง “กรอบสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN Environmental Rights Framework) ซึ่งจะทำให้สามารถเอาผิดกับบริษัทหรือรัฐที่ก่อมลพิษข้ามพรมแดนได้อย่างจริงจัง โดยเป็นการยกระดับความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาค พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ เข้าใจแก่ทุกภาคส่วนในวงกว้างให้ตระหนักถึงผลกระทบของมลพิษทางอากาศข้ามแดน เพื่อขับเคลื่อนให้ภูมิภาคนี้ ปลอดฝุ่นพิษอย่างแท้จริง

โดยสรุป เส้นแบ่งพรมแดนไม่สามารถหยุดยั้งมลพิษได้ การแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่ยั่งยืนจึงต้องอาศัยการก้าวข้ามเส้นแบ่งนั้นไปเช่นกัน ด้วยการรวบรวมข้อมูลความเสียหายอย่างเป็นระบบ การนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้อง การสนับสนุนหน่วยงานที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงทั้งด้านการเก็บข้อมูล การพยากรณ์ การตรวจจับ รวมถึงการผลักดันให้เกิดความร่วมมือทางการเมืองที่มีสภาพบังคับอย่างแท้จริง เพื่อให้ผู้ที่ได้ประโยชน์จากความเสียหายต้องร่วมรับผิดชอบในสิ่งที่ตนก่อขึ้น และเกิดความเป็นธรรมโดยส่วนรวม

คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
วันพุธที่ 20 สิงหาคม 2568
ดร. ประชา คุณธรรมดี
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'หัวหน้าเอ้' เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครสส. 22 คน ลั่นประเทศไทยถึงเวลาหนีหลุมดำ

'ดร.เอ้' เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัคร สส. 22 คน ชี้ ประเทศไทยถึงเวลาหนีหลุมดำ ย้ำ ต้องออกมาก้าวใหม่ เลิกจมหนี้-จมน้ำ

เปิดผลตรวจ 'สารหนู' ในแม่น้ำสาย-รวก-โขง เกินมาตรฐานทุกจุดตรวจวัด

ผลตรวจเดือน พย.พบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำสาย-รวก-โขงทุกจุดตรวจวัด ขณะที่แม่น้ำกกหนักอยู่ที่ ต.ท่าตอนส่วนจุดอื่นเบาบางลง นักวิชาการชี้รัฐยังเฉื่อยไร้แผนตรวจในคน-พืช-สัตว์ แนะเร่งสังเคราะห์ข้อมูลใช้ขับเคลื่อนเวทีระหว่างประเทศ

กรมทรัพยากรน้ำสรุปผลรับฟังความคิดเห็นประชาชน ปัญหาแม่น้ำกก “สุชาติ” ย้ำรัฐบาลยึดเสียงประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยุติแนวคิดสร้างฝายดักตะกอนเด็ดขาด

นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เปิดเผยผลการประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่อำเภอท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก โดยมี นางสลีลญา คำภาแก้ว

“รองนายกฯ สุชาติ” ลุยเชียงใหม่–เชียงราย เปิดรับฟังข้อเสนอภาคประชาชน เร่งแก้ปัญหาสารปนเปื้อน “แม่น้ำกก” ให้เกิดผลเชิงรูปธรรมโดยเร็ว

วันนี้ (9 ตุลาคม 2568) เวลา 10.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงฯ ดร.สุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่

'รมว.ทส.' ขึงขังบอกมาแค่ 4 เดือนใครไม่พร้อมทำงานต้องย้ายออกไป!

'สุชาติ' เล็งคุยปลัด ทส.-อธิบดี โยกคนมีคุณภาพมาทำงานให้เร็วที่สุด ใครมีปัญหาให้ย้ายออก เหตุมีเวลาน้อย เตรียมเข้ากระทรวงศุกร์นี้